ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น1)


คำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น1)
ฉบับที่ 8
วันที่ 9 กรกฎาคม 2552
--------------------------

ปัจจุบันการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น 1) ได้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว โดยโรคมีความรุนแรงปานกลาง ประเทศไทยส่วนใหญ่พบในกรุงเทพฯและปริมณฑล และมีรายงานมากกว่า 60 จังหวัดแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา รองมาเป็นคนวัยทำงาน

คำแนะนำทั่วไป
ประชาชนทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจโรคที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก รู้วิธีการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ โดยการติดตามข้อมูลคำแนะนำต่างๆ จากกระทรวงสาธารณสุข รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารมีประโยชน์ ผัก ผลไม้ ไข่ นม นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และฝึกนิสัยไม่ใช้มือแคะจมูก ขยี้ตา หรือจับต้องใบหน้า ถ้าจำเป็นควรใช้กระดาทิชชูจะปลอดภัยกว่า ดูแลตนเองหรือคนในครอบครัวที่ป่วยได้ และป้องกันไม่แพร่เชื้อให้คนรอบข้าง โดยการหยุดเรียน หยุดงาน ปิดปากจูกเวลาไอจามด้วยกระดาษทิชชู สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่กับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด และลดผลกระทบด้านต่างๆ ได้มากที่สุด

ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะมีอาการป่วยใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นทุกปี คือมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย มีรายงานอาการสมองอักเสบ 4-5 ราย

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (95%) จะมีอาการทุเลาขึ้นตามลำดับ คือ ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น และหายป่วยภายใน 5-7 วัน จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

ผู้ป่วยน้อยราย (5%) ที่มีอาการป่วยรุนแรงซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ไอมากจนเจ็บหน้าอก เกิดปอดบวม (หายใจถี่ หอบ เหนื่อย) นั้นพบว่า ส่วนใหญ่ (70%) เป็นกลุ่มผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจ โรคเลือด ไต เบาหวาน ฯลฯ) ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ (โรคมะเร็ง ฯลฯ) โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หญิงมีครรภ์ อย่างไรก็ตาม มีส่วนหนึ่ง (30%) ที่มีอาการรุนแรงแต่ไม่สามารถสอบสวนหาภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงและผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จึงต้องรีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ทันที

การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงที่บ้าน
หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูงมาก ตัวไม่ร้อนจัด ไม่ซึมหรืออ่อนเพลียมาก และพอรับประทานอาหารได้ สามารถดูแลรักษาตัวที่บ้านได้ โดยปฏิบัติดังนี้

• ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน และพักอยู่กับบ้านหรือหอพัก ไม่ออกไปนอกบ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย หรือหลังจากหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ
• แจ้งสถานศึกษาหรือที่ทำงานทราบ เพื่อจะได้เฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และป้องกันควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที
• ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซทามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ตามคำแนะนำของเภสัชกร หรือสถานบริการทางการแพทย์ หรือคำสั่งของแพทย์
• ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องรับประทานทานยาให้หมดตามที่แพทย์สั่ง
• เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำสะอาดอุ่นเล็กน้อยเป็นระยะ โดยการเช็ดแขนขาย้อนเข้าหาลำตัว เน้นการเช็ดลดไข้บริเวณหน้าผาก ซอกรักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขนขา และใช้ผ้าห่มปิดหน้าอกระหว่างเช็ดแขนขา เพื่อไม่ให้หนาวเย็นจนเสี่ยงเกิดปอดบวม หากผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ต้องหยุดเช็ดตัว และห่มผ้าให้อบอุ่น
• ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด
• พยายามรับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง
• นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ไอมากจนเจ็บหน้าอก เกิดปอดบวม (หายใจถี่ หอบ เหนื่อย) ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

การแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ ในบ้าน
• ผู้ป่วยควรนอนแยกห้อง ไม่ออกไปนอกห้องจนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ
• รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น หากอาการทุเลาแล้ว อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
• ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
• ปิดปากจมูก เวลาไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู แล้วทิ้งทิชชูลงในถังขยะ และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่หรือบ่อยๆ
• ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย
• ผู้ดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย
• คนอื่น ๆ ควรอยู่ไกลจากผู้ป่วยประมาณ 1-2 เมตร หรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน

แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
1. กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2245 8106, 0 2246 0358 และ 0 2354 1836
2. ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th และหากมีข้อสงสัย ติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 3333 และศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 1994 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข

"องค์การอนามัยโลก" รับหยุดยั้งการระบาดของเชื้อไข้หวัด2009ไม่ได้

ผู้แทนองค์การอนามันโลกประจำไทยยอมรับไม่อาจหยุดยั้งการระบาดของหวัด09ได้ แนะให้ป้องกัน ปชช.แทน ขณะที่ สธ.คาดตัวเลขคนติดเชื้อจริงประมาณ5แสนคน ...
วันนี้ (22ก.ค.) พญ.มัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในความเป็นจริงขณะนี้คือ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้ และสถานการณ์ขณะนี้คือ มีการระบาดในหลายร้อยประเทศทั่วโลก และแต่ละประเทศก็มีลักษณะของการระบาดไม่เหมือนกัน บางประเทศระบาดเป็นกระจุกในเมือง แต่บางประเทศการระบาดกระจายไปทั่วประเทศ สิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดคือ เมื่อหยุดยั้งการระบาดไม่ได้ ก็ต้องป้องกันประชาชนจากการระบาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งหลายประเทศได้ใช้ความพยายามหามาตรการดังกล่าว

สำหรับประเทศ ไทย ผู้แทนองค์การอนามัยโลก กล่าวยอมรับว่ามีมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงของการแพร่ระบาด เพราะถ้าสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคได้ เช่นปิดโรงเรียน หรือ การหยุดงาน จะช่วยไม่ให้มีคนไข้เข้ามารพ.จนล้น ทั้งๆที่เป็นคนไข้ที่มีอาการน้อย เพราะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นโรคที่มีคนป่วยที่มีอาการน้อย จำนวนมาก และ อาการมาก จำนวนน้อยอนามัยโลกเชื่อไทยพัฒนาวัคซีนได้

ส่วนเรื่องของการพัฒนา วัคซีน พญ.มัวรีน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศที่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนเพื่อรองรับการ ระบาด โดยเป็นโครงการพัฒนาเพื่อการพึ่งตนเอง และการพัฒนาวัคซีนก็เป็นแนวทางการพัฒนาที่หลายประเทศเคยใช้มาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะวัคซีนเชื้อเป็น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาผลิตเป็นวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้ในประเทศรัสเซียมาก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้ว และมีคนเคยใช้วัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ไปแล้วประมาณนับสิบล้านคน และวัคซีนที่สหรัฐอเมริกาใช้อยู่บางตัวก็ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกัน ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าวัคซีนเชื้อเป็นกับวัคซีนเชื้อตาย ชนิดไหนมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากกว่ากัน ข้อเท็จจริงก็คือ วัคซีนทุกชนิดต้องผลิตผ่านมาตรฐานที่เป็นสากลจึงจะสามารถผลิตและนำไปใช้ ได้

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคในขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น อัตราการเสียชีวิตก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขคงเน้นเรื่องของมาตรการลดการแพร่กระจายโดยให้คนที่ป่วย หยุดอยู่บ้าน อย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ จากการคาดประมาณสำหรับไข้หวัดใหญ่ปกติทุกๆ 10,000 คนจะมีผู้เสียชีวิต 1 คน ซึ่งถ้าคาดการณ์จากตัวเลขผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ 44 ราย คาดว่าน่าจะมีผู้ติดเชื้อโรคนี้ในประเทศไทยประมาณ 5 แสนราย

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/21305