"การแพทย์แผนตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นตำราอายุรเวชของอินเดีย การแพทย์แผนจีน และการแพทย์แผนไทย มีหลักการคล้ายกัน คือเมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติ ก็จะต้องหาวิธีรักษาโดยปรับเข้าสู่สมดุล ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ขณะที่การแพทย์ตะวันตกรักษาทางร่างกายเพียงด้านเดียว จึงทำให้การรักษาไม่ได้ผลในบางครั้ง" รศ.ดร.สุรพจน์ เผย
สำหรับกรณีของโรคไข้ หวัดใหญ่ H1N1 สายพันธุ์ใหม่นั้นมีลักษณะอาการไข้เช่นเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ตัก ศิลา ซึ่งเป็น 1 ใน 14 คัมภีร์ ของตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่ง รศ.ดร.สุรพจน์ เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ และสื่อมวลชนว่า ตำราดังกล่าวเป็นตำราแพทย์แผนไทยที่รวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 2416 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งรวบรวมขึ้นจากตำราพระโอสถพระนารายณ์
หลังจากรักษาด้วยยากระทุ้งพิษแล้วจึงรักษาตามด้วยตำรับยาแปรไข้ ได้แก่ ยาจันทลีลา ช่วยลดอาการไข้ จากนั้นรักษาด้วยตำรับยาครอบไข้ ได้แก่ ยาจันทหฤทัย ช่วยบำรุงร่างกาย ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแทรกเข้าสู่อวัยภายใน และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
"จุดเด่นของการรักษาด้วยตำรับยาสมุนไพรคือเชื้อไม่ดื้อยา ไม่มีผลข้างเคียง เพราะในยาสมุนไพรมีหลายสูตรโครงสร้างของโมเลกุลมากมายหลายร้อยโมเลกุล ทำให้โอกาสที่เชื้อจะดื้อยาเป็นไปได้ยาก และในแต่ละตำรับจะมีตัวยาหักฤทธิ์ด้วยนอกจากตัวยาหลักและยารอง จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงเมื่อนำไปใช้ ขณะที่ยาแผนปัจจุบันอาจมีผลข้างเคียงในการรักษา และเชื้อมีโอกาสดื้อยาได้ง่าย เพราะในตัวยาปัจจุบันมีสูตรโครงสร้างเดียว ทำให้เชื้อปรับตัวและดื้อยาง่าย" อาจารย์ด้านแพทย์แผนไทย อธิบาย
นอกจากนี้ รศ.ดร.สุรพจน์ ยังได้แนะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ได้แค่ อิคินาเซีย เป็นสมุนไพรท้องถิ่นในอเมริกา ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกว่ามีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ เป็นอย่างดี รวมทั้งเห็ดหลินจือ ขมิ้นชัน ปัญจขันธ์ และชาจีน
อย่างไรก็ดี รศ.ดร.สุรพจน์ ได้กล่าวถึงฟ้าทะลายโจรด้วยว่าเป็นยาแฟชันในขณะนี้ เพราะมีการโปรโมทกันมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วฟ้า ทะลายโจรสามารถนำมาใช้เป็นยาเสริมในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้เป็นยาหลัก เพราะฤทธิ์ต้านไวรัสอ่อน และเตือนว่าไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่เป็นโรคความดัน เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ และมีผลทำให้ความตันต่ำด้วย
อาจารย์ด้านแพทย์แผนไทยจาก ม.รังสิต ย้ำว่าตำหรับยาสมุนไพรไทยสามารถใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้และได้ผลดีกว่ายา โอเซลทามิเวียร์ที่ใช้กันอยู่ด้วยซ้ำ จึงควรสนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงยาสมุนไพรเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยลดการนำ เข้ายาจากต่างประเทศได้มหาศาล
พร้อมกันนี้ได้เสนอแนวทางการพัฒนายาในประเทศไทยว่าควร พัฒนาต่อยอดจากภูมิปัญญาไทย และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย ด้วยการสกัดสารสำคัญออกมา ทำให้เข้มข้นขึ้น และพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้ง่ายคล้ายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งตำรับยาสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยที่ใช้กันมาแต่โบราณ จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใช้รักษาโรคได้ผลและไม่เป็นอันตราย ซึ่งวันนี้อาจเป็นการแพทย์ทางเลือก แต่ต่อไปอาจเป็นทางหลักของคนไทย.
ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000089942
