ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาจารย์แพทย์แผนไทย ม.รังสิต ชี้สมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" แค่ยาเสริม ชูสมุนไพร "5 ราก" แก้ไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่2009ได้ผลชะงัด

อาจารย์แพทย์แผนไทย ม.รังสิต แนะใช้ยาสมุนไพรสู้หวัด 2009 เผยตำรับยารักษาไข้หวัดใหญ่มีมาแต่โบราณ ชูสมุนไพร "5 ราก" มีในบัญชียาหลักแห่งชาติ กินแก้หวัดตั้งแต่เริ่มมีอาการ ประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสเทียบชั้นยาปัจจุบัน รับประกันได้ผลชะงัด พร้อมตัดโอกาสเชื้อดื้อยา ระบุฟ้าทะลายโจรเป็นยาแฟชัน ใช้เสริมได้แต่ไม่ควรใช้เป็นยาหลัก

รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีผู้ก่อตั้งคณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยถึงแนวทางการใช้แพทย์แผนตะวันออกในการต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ 2009 ในระหว่างการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง "แนวทางการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์และนวัตกรรมสมุนไพรไทยมาใช้ในการป้องกัน และรักษาการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอช1เอ็น1 (H1N1)" ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 7 ส.ค.52 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมสยามซิตี

"การแพทย์แผนตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นตำราอายุรเวชของอินเดีย การแพทย์แผนจีน และการแพทย์แผนไทย มีหลักการคล้ายกัน คือเมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติ ก็จะต้องหาวิธีรักษาโดยปรับเข้าสู่สมดุล ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ขณะที่การแพทย์ตะวันตกรักษาทางร่างกายเพียงด้านเดียว จึงทำให้การรักษาไม่ได้ผลในบางครั้ง" รศ.ดร.สุรพจน์ เผย

สำหรับกรณีของโรคไข้ หวัดใหญ่ H1N1 สายพันธุ์ใหม่นั้นมีลักษณะอาการไข้เช่นเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ตัก ศิลา ซึ่งเป็น 1 ใน 14 คัมภีร์ ของตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่ง รศ.ดร.สุรพจน์ เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ และสื่อมวลชนว่า ตำราดังกล่าวเป็นตำราแพทย์แผนไทยที่รวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 2416 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งรวบรวมขึ้นจากตำราพระโอสถพระนารายณ์

"วิธีการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ตามที่ระบุในคัมภีร์ตักศิลา แบ่งเป็นยา 3 ตำรับ ตำรับที่ 1 เป็นยากระทุ้งพิษ ใช้ขับพิษออกจากร่างกายหรือฆ่าเชื้อไวรัส โดยใช้ยา 5 ราก (ยาเบญจโลกวิเชียร) ที่ประกอบด้วยรากของพืชสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ ชิงชี่, เท้ายายม่อม, มะเดื่อชุมพร, คนทา และย่านาง ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ไม่ยาก และยานี้ยังได้รับการบรรจุไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย" รศ.ดร.สุรพจน์ อธิบาย

หลังจากรักษาด้วยยากระทุ้งพิษแล้วจึงรักษาตามด้วยตำรับยาแปรไข้ ได้แก่ ยาจันทลีลา ช่วยลดอาการไข้ จากนั้นรักษาด้วยตำรับยาครอบไข้ ได้แก่ ยาจันทหฤทัย ช่วยบำรุงร่างกาย ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแทรกเข้าสู่อวัยภายใน และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

"จุดเด่นของการรักษาด้วยตำรับยาสมุนไพรคือเชื้อไม่ดื้อยา ไม่มีผลข้างเคียง เพราะในยาสมุนไพรมีหลายสูตรโครงสร้างของโมเลกุลมากมายหลายร้อยโมเลกุล ทำให้โอกาสที่เชื้อจะดื้อยาเป็นไปได้ยาก และในแต่ละตำรับจะมีตัวยาหักฤทธิ์ด้วยนอกจากตัวยาหลักและยารอง จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงเมื่อนำไปใช้ ขณะที่ยาแผนปัจจุบันอาจมีผลข้างเคียงในการรักษา และเชื้อมีโอกาสดื้อยาได้ง่าย เพราะในตัวยาปัจจุบันมีสูตรโครงสร้างเดียว ทำให้เชื้อปรับตัวและดื้อยาง่าย" อาจารย์ด้านแพทย์แผนไทย อธิบาย

นอกจากนี้ รศ.ดร.สุรพจน์ ยังได้แนะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ได้แค่ อิคินาเซีย เป็นสมุนไพรท้องถิ่นในอเมริกา ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกว่ามีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ เป็นอย่างดี รวมทั้งเห็ดหลินจือ ขมิ้นชัน ปัญจขันธ์ และชาจีน

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.สุรพจน์ ได้กล่าวถึงฟ้าทะลายโจรด้วยว่าเป็นยาแฟชันในขณะนี้ เพราะมีการโปรโมทกันมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วฟ้า ทะลายโจรสามารถนำมาใช้เป็นยาเสริมในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้เป็นยาหลัก เพราะฤทธิ์ต้านไวรัสอ่อน และเตือนว่าไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่เป็นโรคความดัน เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ และมีผลทำให้ความตันต่ำด้วย

อาจารย์ด้านแพทย์แผนไทยจาก ม.รังสิต ย้ำว่าตำหรับยาสมุนไพรไทยสามารถใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้และได้ผลดีกว่ายา โอเซลทามิเวียร์ที่ใช้กันอยู่ด้วยซ้ำ จึงควรสนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงยาสมุนไพรเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยลดการนำ เข้ายาจากต่างประเทศได้มหาศาล

พร้อมกันนี้ได้เสนอแนวทางการพัฒนายาในประเทศไทยว่าควร พัฒนาต่อยอดจากภูมิปัญญาไทย และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย ด้วยการสกัดสารสำคัญออกมา ทำให้เข้มข้นขึ้น และพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้ง่ายคล้ายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งตำรับยาสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยที่ใช้กันมาแต่โบราณ จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใช้รักษาโรคได้ผลและไม่เป็นอันตราย ซึ่งวันนี้อาจเป็นการแพทย์ทางเลือก แต่ต่อไปอาจเป็นทางหลักของคนไทย.

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000089942

คนทั่วโลกเสี่ยงติดไข้หวัดใหญ่ 2009 เท่ากัน ชี้เพราะยังไม่มีภูมิต้านทาน เตือนผู้ที่กินยาต้านไวรัส อย่าหยุด กลางคัน

โฆษก สธ.ชี้คนทั่วโลกเสี่ยงติดโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เท่ากัน เพราะยังไม่มีภูมิต้านทาน เตือนผู้ที่กินยาต้านไวรัส อย่าหยุดยาเองกลางครัน โอกาสดื้อยามีสูง ...

วานนี้ (9ส.ค.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งในไทยเริ่มตรวจพบเชื้อดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีว่า ปัญหาการดื้อยาต้านไวรัสมีโอกาสเกิดขึ้นได้ หากมีการใช้ยากับคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีความระมัดระวังในการใช้ยา โดยกำหนดให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยหนักและผู้ที่เสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรง ซึ่งจะให้ผลการรักษาดีที่สุดใน 48 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมงแรกที่เริ่มป่วย จึงย้ำเตือนให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่กำลังกินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์อยู่ในขณะนี้ หากหลังกินแล้วอาการดีขึ้นก็อย่าหยุดกินกลางครัน ขอให้กินจนครบตามแพทย์สั่ง คือวันละ 2 เม็ด ครั้งละ 1 เม็ดเช้าและเย็น จนครบ 5 วัน รวม 10 เม็ด เพื่อป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา และแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถใช้ยาตัวเดิมได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับยาจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทั่วโลกรวมทั้งคนไทยมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 เท่ากัน เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิต้านทานเชื้อนี้มาก่อน ในส่วนของไทยคาดว่าจะมีผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคนี้แล้วประมาณ 3 - 5 แสนคน ดังนั้น คนที่ยังไม่ป่วยขอให้ป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อ

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/25353