ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

หัวหน้าของบิชอพแห่งเนเปิลส์ สั่้งคริสศาสนิกชนงดจูบขวดศักดิ์สิทธิ์ป้องกันไข้หวัด 2009 ระบาด

เอเอฟพี - หัวหน้าของบิชอพแห่งเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ได้ขอให้คริสต์ศาสนิกชนงดจูบขวดแก้วใส 2 ขวดที่เชื่อว่าบรรจุหยาดโลหิตของเซนต์แจนยัวริอุส เพราะมีความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่2009
การตัดสินใจมีขึ้นไม่กี่วันหลังจากชายวัย 51 ปีรายหนึ่งจากเนเปิลส์ กลายเป็นคนแรกในอิตาลีที่เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1

ในแต่ละปีผู้ศรัทธาคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกหลายพันคนจะเดินทาง มายังอาสนวิหารเนเปิลส์ สถานที่ที่เก็บขวดบรรจุพระโลหิตแห้งของเซนต์แจนยัวริอุสที่กลายเป็นของเหลว แม้ว่าทางโบสถ์จะไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามันคือสิ่งอัศจรรย์ก็ตาม

"ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข จะไม่มีการจูบสิ่งที่ตกทอดกันมา" โฆษกของโบสถ์เซนต์แจนยูริอุส บอกกับเอเอฟพี "แต่เราก็ยังอนุญาตให้ใช้หน้าผากสัมผัสขวดแก้วได้"

เซนต์แจนยูริอุสคือหนึ่งในนักบุญซึ่งเป็นที่เลื่อมใสในนโปเลียน และได้เปิดโอกาสให้คริสศาสนิกชนเข้าสักการะขวดแก้ว 3 ครั้งต่อปี โดยผู้ศรัทธาบางรายบอกว่าโลหิตแห้งได้กลายเป็นของเหลวหรือแม้แต่เพิ่มขึ้น อย่างมากระหว่างจัดแสดง

ผู้ศรัทธาเชื่อกันว่าหากโลหิตกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็ว เนปิ้ลส์ ก็นับเป็นพรแห่งความโชคดีของเมือง แต่หากว่าโลหิตเปลี่ยนแปลงช้า เมืองทางภาคใต้ของอิตาลีแห่งนี้ก็อาจต้องเผชิญกับหายนะ

ที่มาข่าว: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104277

เชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดในฝรั่งเศสเร็วกว่าที่คาด

เอเอฟพี - ขณะนี้ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สัปดาห์ละ 20,000 ราย สูงกว่าที่ทางการประเมินมาก “จีอาร์โอจี” หน่วยเฝ้าระวังหวัด 2009 แบบรายทวีปแถลงวานนี้ (7)

“เฉลี่ยแล้ว ฝรั่งเศสพบผู้ติดเชื้อสูงสุด 20,000 รายต่อสัปดาห์” ฌอง มาเรีย โคเฮน ผู้อำนวยการจีอาร์โอจีบอกกับผู้สื่อข่าว

พบผู้ติดเชื้อหวัด 2009 รายใหม่จำนวนมากที่สุด 23,000 รายเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม และจากการประเมินของจีอาร์โอจีพบว่า มีผู้ติดเชื้อราว 71,800 รายในเมืองหลวงของฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคมถึง 31 สิงหาคม

แม้ก่อนหน้านั้น สถาบันเฝ้าระวังด้านสุขภาพ (อินวีเอส) ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีผู้ติดเชื้อหวัด 2009 รายใหม่เพียง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม

ทั้งนี้ จีอาร์โอจีอ้างอิงข้อมูลจากเครือข่ายแพทย์และกุมารแพทย์จำนวน 5,000 คน ที่รักษาอาการติดเชื้อฉับพลันในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยระดับภูมิภาค แล้วนำมาประเมินข้อมูลทั่วประเทศ

“เรามั่นใจว่า ตัวเลขของเราใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยมีความผิดพลาดไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์” โคเฮนกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วฝรั่งเศสพบผู้ติดเชื้อหวัดตามฤดูกาลจำนวนมากถึง 500,000 รายต่อสัปดาห์

“เรากำลังเผชิญกับคลื่นระลอกเล็ก ก่อนที่คลื่นยักษ์จะถาโถม” โคเฮนกล่าว

ที่มาข่าว : http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000103782

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

องค์การอนามัยโลกเตือนประชากรโลกอาจติดเชื้อหวัด 2009 ถึง 1 ใน 3

นายเคอิจิ ฟูกูดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO คาดว่า ประชากรโลกราว 1 ใน 3 อาจตกเป็นเหยื่อของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในช่วงปีแรกของการระบาด ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานของการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในศตวรรษที่ 20
นายฟูกูดะเตือนรัฐบาลทั่วโลกอีกว่า ให้เตรียมพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รอบ 2 นอกจากนี้ ประชาคมโลกยังจะต้องช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ในการรับมือกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ฯ2009 ด้วย

ที่มา: http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000103743

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ต้มโคล้งรวมมิตรตำรับอาหารไทย สูตรแม่นายกฯ ช่วยต้านหวัด 2009

ในงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 6” ภายใต้แนวคิด “พืชผักสมุนไพร สร้างเศรษฐกิจไทย ต้านภัยไข้หวัด” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 ก.ย. ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีการทำ “น้ำซุปต้มโคล้งไก่บ้านต้านหวัด” สูตร คุณแม่นายกฯ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ มาให้ประชาชนได้ชิมกัน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้นำสูตรดังกล่าวมาเผยแพร่ด้วย

ตำรับอาหารต้านหวัด

ต้มโคล้งรวมมิตร
(ตำรับ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ)

ต้มโคล้งเป็นตำรับอาหารไทยที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณต้านหวัด ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เหมาะกับสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นอย่างยิ่ง

เครื่องปรุง 1. ตะไคร้ 5 ต้น (ล้างหั่นเป็นท่อน ๆ) 2. ข่า (ล้าง เผา ปอก หั่น 1 กำมือ) 3. ขิง (ล้าง ปอก หั่น 1 กำมือ) 4. ขมิ้นชัน (ขมิ้นแกง 5 ท่อนปอกหั่น) 5. หอมแดง (เผา) ทุบพอแตก 6. มะขามอ่อน 1-2 ฝัก หรือยอดมะขามอ่อน 1 กำมือ 7. เกลือ 1 ช้อนชา 8. น้ำ 3 ลิตร 9. น้ำซุปไก่หรือ ปลากรอบชนิดต่าง ๆ ปลาช่อนแห้ง ปลาแดดเดียว (ย่าง) ชนิดใดชนิดหนึ่ง 10. กะเพรา 1 กำมือ 11. พริกขี้หนูตามชอบ และพริกแห้งเผา 2 เม็ด

วิธีปรุง เครื่องปรุง 1-8 ต้มให้เดือดสักพัก (ควรใช้หม้อเคลือบ) ถ้าไม่ต้องการเปรี้ยวมากเอาฝักมะขามอ่อนออกเสียก่อน

ต่อไปแบ่งน้ำและเครื่องปรุงที่ต้องการรับประทานมา ต้มกับปลากรอบหรือเติมน้ำซุปไก่ (อาจใส่เนื้อไก่ลงไปด้วย) ลงไปประมาณหนึ่งต่อสี่ แล้วเติมกะเพราและพริก ก่อนยกลงจากเตา (ส่วนที่เหลือเก็บทำได้อีกในวันรุ่งขึ้น) ชิมดูขาดรสอะไร เติมได้ตามชอบ เช่น ขาดรสเค็มก็เติมน้ำปลา ขาดรสเปรี้ยวก็เติมมะนาว ขาดรสเผ็ดก็เติมพริก ชอบรสหวานก็เติมน้ำตาล

วิธีการเตรียมซุปไก่ เพื่อบรรเทาหวัด เป็นดังนี้ ตุ๋นไก่ชำแหละแล้ว 1 ตัว น้ำประมาณ 4 ลิตร ใช้ไฟอ่อน ๆ จนไก่เปื่อยจนน้ำเหลือประมาณ 1 ลิตร ช้อนเนื้อและกระดูกออก เก็บส่วนที่เป็นน้ำไว้เป็นน้ำสต๊อกของน้ำซุปไก่

วิธีรับประทาน รับประทานกับข้าวสวย และซดน้ำแกงตามชอบสรรพคุณสมุนไพรในต้มโคล้งรวมมิตร

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่คนไทยและคนจีนโบราณใช้ในการรักษาหวัด หวัดใหญ่ แก้ไข้ แก้ปวดหัว มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน แก้อักเสบได้ดีเยี่ยม ตะไคร้เหมาะสำหรับการบรรเทาอาการหวัด เพราะมีรสเผ็ดร้อน และมีน้ำมันหอมระเหยทำให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย

ขิง คนทุกมุมโลกใช้ขิงแก้หวัด แก้ไอ–มีสารหลายชนิดในขิงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และมีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้มทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาส จับกินเหยื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น

หอมแดง คนไทยใช้หอมในการรักษาหวัดมาตั้งนานแล้ว พบว่าในหัวหอมเล็กมีสารเคอร์ซิติน ที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านฮิสตามีน ช่วยขยายหลอดลม

กะเพรา คนไทยและคน อินเดียนิยม แก้หวัด แก้ไอ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง มีฤทธิ์ต้านอาการไอ คลายเครียด แก้อักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ

ข่า สมุนไพรรสร้อน ที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยลดน้ำมูก ขับเสมหะ และ ลดอาการอักเสบหรืออาการอื่น ๆ อันเนื่องจากหวัด

ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แก้แพ้ ต้านอนุมูลอิสระ อินเดียนิยมใช้เป็นยาแก้หวัด

พริก ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ รวมทั้งยังใช้บรรเทาอาการไอในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอดอีกด้วย

ใบมะขามอ่อน มีรสเปรี้ยว ช่วยขับเสมหะ ช่วยระบายความร้อน ลดไข้

น้ำซุปไก่เป็นยาต้านหวัด นาย แพทย์สตีเฟน เรนนาร์ด หัวหน้าแผนกโรคปอดแห่งมหาวิทยาลัยเนแบรสกา แนะนำให้ตุ๋นไก่ทั้งตัว เอาน้ำซุปจิบแก้ไอเนื่องจากหวัด ได้ผลดี ไก่มีกรดอะมิโนตามธรรมชาติชื่อซีสเทอีน (cysteine) ซึ่งมีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับยาอะเซทีลซีสเทอีน ซึ่งเป็นยาขับเสมหะตัวหนึ่ง (อันที่จริงยาอะเซทีลซีสเทอีน ก็มีต้นกำเนิดมาจากสารสกัดจากขนและหนังไก่)

หมอสตีเฟน ศึกษาพบว่า ซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวที่ชื่อ “นิวโทรฟิลส์” ไปยังเนื้อเยื่อปอด ซึ่งจะช่วยลดขบวนการอักเสบในปอด และบรรเทาการไอได้

การใช้ซุปไก่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 เพื่อรักษาอาการหอบหืดเมื่อพิสูจน์ก็พบว่า มันใช้ได้ผลจริง โดยเฉพาะการบรรเทาอาการคัดจมูกและป้องกันไม่ให้เกิดการไอซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก แม้เจือจางซุปไก่ด้วยน้ำ 200 ส่วน มันก็ยังออกฤทธิ์ได้.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=505&contentId=18326

องค์การอนามัยโลกเตือนเขมร พื้นที่แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ซินหัว - ทางการกัมพูชาและองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกเตือนว่า ขณะนี้กัมพูชาอยู่ในภาวะการเผชิญหน้ากับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส A/H1N1 หรือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

กระทรวงสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลก รายงานว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับเชื้อจากต่างประเทศหรือไม่ ก็ติดต่อจากนักท่องเที่ยวมากกว่าที่จะติดจากคนในประเทศด้วยกันเอง แต่ในตอนนี้มีตัวบ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส A/H1N1 ในท้องถิ่นเกิดขึ้นแล้ว

“มีผู้ป่วยชาวเขมร 5 ราย ได้รับการยืนยันแล้วว่า ได้รับติดเชื้อไวรัสจากภายในประเทศ เพราะไม่มีประวัติการเดินทางหรือติดต่อกับนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย” ทั้งนี้ เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากรายงานที่ระบุไว้

จนถึงวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัส A/H1N1 ในกัมพูชามีทั้งหมด 31 ราย โดยที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว

องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นับถึงวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 209,438 คน จากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าวนี้เพียง 1% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ได้แพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อ WHO อีกในระยะนี้

สำหรับความพยายามที่จะชะลอการแพร่ระบาดของโรคนี้ในกัมพูชา ผู้ป่วยที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าติดเชื้อไวรัส A/H1N1 จะต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยหรือแยกตัวอยู่กับบ้าน หรือที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลา 7 วัน

ที่มา: http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000102346

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริการายงานเด็กอเมริกาตายจากไข้หวัดพันธุ์ใหม่2009 มากถึง36ราย

เอเจนซี - ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริการายงานเมื่อวันพฤหัสบดี(3) ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ปลิดชีพเด็กอเมริกาไปแล้ว 36 ราย ในจำนวนนั้นกว่า 2 ใน 3 มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว

เด็กสหรัฐฯร้องไห้งอแงขณะตรวจหาเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1 ขณะที่ไข้หวัดพันธุ์ใหม่นี้ได้คร่าชีวิตเด็กมะกันไปแล้วหลายสิบคน

รายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ระบุว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เสียชีวิตมีเงื่อนไขทางการแพทย์ที่นำเด็กไปสู่ความ เสี่ยงอาการรุนแรง อาทิป่วยเป็นโรคหอบหืดหรือทุพพลภาพอย่างเช่นสมองพิการ ขณะที่อีก 22 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

ซีดีซี ระบุว่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พวกเขามีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1 ภายในประเทศ 477 คน ในจำนวนนั้นเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี "2ใน3ของผู้เสียชีวิต เด็กเหล่านั้นล้วนแค่มีอาการป่วยแฝงอยู่หรือทุพพลภาพ ... สมองพิการ โรคกล้ามเนื้อเสื่อม ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังหรือโรคหัวใจ" ดอกเตอร์โธมัส เฟรเดน ผู้อำนวยการซีดีซีบอกกับผู้สื่อข่าว

"แต่ก็มีเด็กบางส่วนที่เสียชีวิตแม้ไม่มีอาการป่วยแฝงอยู่ เนื่องจากพวกเขาสามารถติดเชื้ออื่นๆได้ทั่วไปซึ่งรวมไปถึงแบคทีเรีย" เฟรเดน ระบุ "เมื่อคุณป่วยเป็นไข้หวัด ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงเล็กน้อย ทำให้คุณอาจอ่อนแอต่อเชื้อโรคอื่นๆ มันคือข้อมูสำคัญสำหรับหมอที่ได้รู้ว่าหากบางคนป่วยเป็นหวัด เมื่อพวกเขาอาการดีขึ้น พวกเขาก็ยังสามารถล้มป่วยด้วยอาการไข้สูงได้อีกครั้ง นั่นบอกเป็นนัยๆว่าบางทีพวกเขาควรได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ"

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา คาดหมายว่าจะมีอเมริกันชนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 กว่า 1 ล้านคนและคาดหมายว่าจะมีการแพร่ระบาดกว้างขวางและรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อหลาย โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนตามปกติหลังจากปิดเทอมฤดูร้อน

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000101075

สำนักงานควบคุมอาหารและยาแห่งชาติจีนรับรองวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ A(H1N1) แ้ล้ว

ผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลองของบริษัทไบโอเทค Sinovac ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ขณะนี้ ชิโนวัคได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯแล้ว และการที่ อย.จีนแถลงรับรองยาวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของชิโนวัค ซึ่งออกฤทธิ์ป้องกันได้ผลเพียงใช้ตัวยาโดสเดียว ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมการลงทุนในต่างแดนของบริษัท-เอเอฟพี

เอเจนซี-สำนักงานควบคุมอาหารและยาแห่งชาติจีนรับรองวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ A(H1N1) ซึ่งได้รับการพัฒนาและผลิตโดยบริษัทจีน ชิโนวัค (Sinovac) โดยวัคซีนตัวใหม่นี้ออกฤทธิ์ป้องกันเชื้อโรคอย่างได้ผลด้วยยาเพียงโดสเดียว

ทั้งนี้ ก่อนหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างสรุปว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นั้น ต้องใช้ยาสองโดสจึงได้ผล

นาย จาง เหว่ย หัวหน้าแผนกทะเบียนยา ภายใต้สังกัดอย.จีน แถลงการณ์รับรองวัคซีนตัวนี้ต่อที่ประชุมข่าวเมื่อวันพฤหัสฯ(3 ก.ย.)

“การทดลองวัคซีนป้องกันเชื้อ A(H1N1) ของบริษัทชิโนวัค ปรากฏผลน่าพอใจ ทั้งมีความปลอดภัยมาก” จางกล่าว พร้อมว่าขณะนี้อย.กำลังพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนยาวัคซีนป้องกันเชื้อไข้ หวัดสายพันธุ์ใหม่ของบริษัทอื่นๆ 9 ราย โดยคาดว่าจะสามารถตัดสินได้ราวกลางเดือนกันยายนนี้

สถานการณ์ การแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในจีน ยังน่ากลัว เนื่องจากเงื่อนไขฤดูกาลที่กำลังย่างสู่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อันเป็นช่วงที่เชื้อหวัดแพร่ระบาดได้ดี นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ยังเป็นช่วงเปิดเทอมที่นักเรียนนักศึกษานับแสนๆคนกลับเข้าห้อง เรียน และเมื่อไม่กี่วันมานี้กระทรวงสาธารณสุขจีนก็ได้ประกาศเตือนการแพร่ระบาด ระลอกใหม่

ในวันพุธ(2 ก.ย.) ทางการจีนแถลงยอดผู้ติดเชื้อไวรัส A(H1N1) ในประเทศจีน เท่ากับ 3,981 ราย แต่ยังไม่มีรายงานกรณีเสียชีวิต

รัฐบาลจีนมีแผนฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 65 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน ก่อนสิ้นปีนี้

ด้านองค์การอนามัยโลก หรือฮู รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหม่ทั่วโลก อย่างน้อย 2,185 ราย นอกจากนี้ยังได้เตือนภาวะขาดแคลนวัคซีนป้องกันเชื้อโรคดังกล่าวในช่วงฤดู หนาว ที่กำลังมาเยือนซีกโลกเหนือ

“ใน 2-3 เดือนข้างหน้า อาจมีวัคซีนไม่เพียงพอสำหรับป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ฯ” Margaret Chan ผู้อำนวยการใหญ่ของฮู กล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว

ขณะนี้ กลุ่มบริษัทเภสัชกรรมมากกว่า 20 รายทั่วโลก กำลังแข่งกับเวลาในการทดลองและผลิตวัคซีนออกมาก่อนที่จะมีการระบาดระลอกสอง และคาดว่ากลุ่ม 5 ยักษ์ใหญ่เภสัชกรรมโลก ได้แก่ ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ (Sanofi-Pasteur) แห่งฝรั่งเศส, แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และกลาโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline-GSK) แห่งอังกฤษ, Baxter แห่งสหรัฐอเมริกา , และโนวาร์ตีส (Novartis) แห่งสวิตเซอร์แลนด์ จะเป็นแหล่งป้อนยามากกว่าร้อยละ 80

ใน วันพฤหัสฯ(3 ก.ย.) โนวาร์ตีสเผยว่า ทางบริษัทได้ทำการทดลองทางการแพทย์ Celtura วัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และได้ผลน่าพอใจ นอกจากนี้ ตัวยาใหม่นี้อาจใช้เพียงโดสเดียวก็ได้ผล ทั้งนี้จากการแถลงของ Andrin Oswald กรรมการผู้จัดการใหญ่ Novartis Vaccines and Diagnostics.

ที่มา: http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100925

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

เผยวัคซีนไข้หวัด2009 แพงสุด20ดอลลาร์ต่อโดส

เอเอฟพี - คาดหมายว่าประเทศต่างๆทั่วโลกต้องจ่ายเงินระหว่าง 2.50 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อวัคซีนรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 1 โดส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายของแต่ละประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกเปิดเผยเมื่อวันพุธ(2)
วัคซีนไข้หวัดใหญ่2009 กำลังส่งถึงประเทศต่างๆ ขณะที่คาดหมายว่าราคาในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน

นอกจากนี้ แมรี่ พอล คีนีย์ ผู้อำนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ยังเตือนด้วยว่าวัคซีนจะไม่เพียงพอต่อพลเมืองโลกทั้งหมดและประชาชนไม่ควรไว้ วางใจวัคซีนเพียงอย่างเดียว พร้อมแนะให้ใช้มาตรการป้องกันอื่นๆในการต่อสู้กับไว้รัสเอช1เอ็น1 อาทิหลีกเลี่ยงแหล่งชุมนุมชนขนาดใหญ่ รวมถึงปิดโรงเรียนและเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะส่วนตัว

คีนีย์ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารด้านสาธารณสุขฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ(2) ว่า "มีมาตรการอื่นๆ อาทิเว้นระยะห่างทางสังคม ปิดโรงเรียน หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมชน ใช้ยาปฏิชีวนะและเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะส่วนตัว นี่ไม่เหมือนโรคพิษสุนัขบ้า ที่เหยื่อต้องตายทุกคนหากไม่ได้รับวัคซีน เรากำลังพูดถึงโรคติดต่อที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้"

ผู้อำนวยการด้านวิจัยวัคซีนย้ำว่าองค์การอนามัยโลกจะช่วยประเทศต่างๆ ให้เข้าถึงวัคซีนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และชาติร่ำรวยอาจต้องจ่าย มากกว่า 25 ดอลลาร์สำหรับวัคซีน 1 โดส

"อุตสาหกรรมนี้จะกำหนดราคาเป็นขั้นๆ ดังนั้นประเทศที่มีรายได้สูงอาจต้องจ่ายเงินราว 10 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อโดส ส่วนประเทศที่มีรายได้ระดับกลางอาจต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง ขณะที่ประเทศที่มีรายได้น้อยจะซื้อได้ในราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ระดับกลาง" เธอกล่าว

อังกฤษและฝรั่งเศสได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ชุดแรกแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มต้นรับมือกับความคาดหมายว่าอาจเกิดการระบาด ของไวรัสเอช1เอ็น1ระลอกสองในช่วงฤดูหนาวของประเทศในซีกโลกเหนือ

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100564

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนามระบาดเร็ว สุดสัปดาห์เจอผู้ป่วยติดเชื้อกว่า 300 ราย

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส A/H1N1 หรือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนาม พุ่งสูงขึ้นอีกมากกว่าวันละ 150 ราย โดยในวันที่ 29 ส.ค.พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้สูงที่สุดถึง 157 ราย และพบอีก 152 รายในวันที่ 30 ส.ค.

ภาพสำนักข่าวเวียดนามเน็ต โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและโรคติดต่อในนครโฮจิมินห์รับคนไข้อีกนับร้อยใน ช่วงสุดสัปดาห์มานี้ ไวรัส A/H1N1 ยังคงลุกลามไม่หยุดและแพร่ระบาดเร็วกว่าเดิม เพียงแค่สองวันพบผู้ป่วยกว่า 300 คนทั่วประเทศ

ผู้ป่วยที่พบส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่พบในบริเวณพื้นที่ราบสูงภาคกลางก็ยังคงเพิ่มจำนวน ขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดมีผู้ป่วยรายใหม่อีก 18 รายเมื่อวันที่ 30 ส.ค.

จนถึงในช่วงสัปดาห์ระหว่างวันที่ 23-30 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั่วประเทศพบผู้ติดเชื้อไวรัส A/H1N1 เพิ่มอีกถึง 825 ราย นับเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมเมื่อเทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่พบผู้ ป่วยทั้งสิ้น 533 ราย

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ โรงเรียนหลายแห่งในเมืองหลวงหรือกรุงฮานอยได้อยู่ภายใต้แผนการป้องกันการ แพร่ระบาดเป็นอย่างดี ทำให้จนถึงวันที่ 28 ส.ค.ยังไม่ปรากฏผู้ติดเชื้อรายใหม่

นายเหงียน ฮวี งา (Nguyen Huy Nga) อธิบดีกรมป้องกันควมคุมโรคและสิ่งแวดล้อมกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกระทรวง ได้ทำการตรวจตราตามโรงเรียนต่างๆ ในกรุงฮานอยและจังหวัดถายงเวียน (Thai Nguyen) ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือเป็นจำนวนทั้งสิ้น 13 โรง แต่โรงเรียนตามพื้นที่ในชนบทนั้นยังคงพบกับอุปสรรคในการดำเนินการป้องกันการ ติดเชื้อไข้หวัด อันเนื่องมาจากสภาวะด้านสุขอนามัยที่ไม่ดีในประชาชน การขาดแคลนเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุข และจำนวนหน้ากากอนามัยที่ไม่เพียงพอแจกจ่ายให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ต่างๆ

นับตั้งที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนาม จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยจำนวนผู้ป่วยที่ปรากฏในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ค.พบยอดผู้ป่วยเพิ่มเพียง 300 ราย และขยับสูงขึ้นอีกจำนวนกว่า 1,000 ราย ในช่วงต้นเดือน ส.ค.

ที่มา:http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100246

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ลามต่างจังหวัดฉุดไม่อยู่ ระบาดหนัก 15 จังหวัดเหนือ-อีสาน ยอดผู้ป่วยพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ลามต่างจังหวัดฉุดไม่อยู่ ระบาดหนัก 15 จังหวัดเหนือ-อีสาน ยอดผู้ป่วยพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เร่งประสาน อปท.ทั่วประเทศหนุนมาตรการป้องกันโรค กลุ่มนักเรียนมากที่สุด ห่วงโรงเรียนในสังกัด สพฐ.กว่า 1,000 แห่ง มีปัญหาขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ส่งผลเด็กไม่มีน้ำล้างมือ ป้องกันโรคสะดุด ด้าน “วิทยา” พอใจผลงานรณรงค์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ของ อสม.ส่งตัวผู้มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่พบหมอ กว่า 5 หมื่นคน ในจำนวนนี้อาการรุนแรง 3,705 คน สั่ง อสม.ปฏิบัติต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคม 2552

วันที่ 1 ก.ย.ที่ จ.ลำปาง นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทำงานป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จ.ลำปาง โดยเฉพาะพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่ถอด อ.เถิน ถือเป็นชุมชนตัวอย่างในการจัดการตัวเองป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากแต่ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตแต่อย่างใด

นพ.มงคล กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การระบาดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานมีอัตราผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 15 จังหวัด มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยสูงที่สุด ได้แก่ ราชบุรี เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ ลำปาง เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี ซึ่งสวนทางกับเขตเมืองและปริมณฑลที่มีอัตราผู้ป่วยชะลอตัวลงแล้ว ทำให้จำเป็นต้องเร่งใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข็มงวดขึ้น

“หาก ไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดในพื้นที่ชนบทได้จะทำให้ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.ซึ่งเป็นช่วยปลายฝนต้นหนาว ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่แล้ว จะมีความน่ากังวลมาก เพราะพื้นที่ชนบทถือว่าเป็นแนวกันชนที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดระลอก 2 ในเขตเมืองได้อีก แต่หากในชนบทมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอาจจะส่งผลกระทบทำให้การระบาดของโรค แพร่กลับข้าสู่เขตเมืองอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อีกทำให้เกิดการระบาดระลอก 2 ได้”นพ.มงคล กล่าว

นพ.มงคล กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกันกับ อปท.เห็นได้ว่า มีความพร้อมและการเตรียมตัวเป็นอย่างดีทำให้เชื้อว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยใน ชุมชนและป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในรอบ 2 ได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องให้ความรู้อย่างต่อเนื่องทั้งในพื้นที่อื่นๆ แม้ว่าขณะนี้โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีความพร้อมในการดูแลประชาชนอยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องทราบว่า ควรไปพบแพทย์หรือไม่ และควรไปพบแพทย์เมื่อใด

“นอก จากนี้ ได้รับข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า มีโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ประมาณ 1,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ จึงทำให้กังวลว่า อาจส่งผลกระทบต่อการป้องกันโรคไข้หวัดได้ เพราะนักเรียนและครู อาจะไม่มีน้ำใช้ล้างมือได้อย่างเพียงพอ ซึ่งเบื้องต้น จากการตรวจสอบปัญหาขาดแคลนน้ำของโรงเรียนในจ.ลำปาง ซึ่งมีโรงเรียนร้องเรียนว่าขาดแคลนน้ำมากถึง 40 แห่ง พบว่ายังพอมีน้ำดื่ม น้ำใช้เพียงพออยู่ ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบไปยังโรงเรียนในจังหวัดอื่นๆ ด้วย เพื่อเร่งหาทางแก้ปัญหา”นพ.มงคล กล่าว

ศ.พญ.สยมพร ศิรินาวิน หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทย เริ่มมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการระบาดไปพร้อมๆ กับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วย โดยอาการป่วยของโรคไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 ชนิด มีอาการคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการรักษา โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สามารถใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์รักษาหายขาดได้ ขณะที่ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไม่สามารถใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้รักษาได้ เพราะเชื้อไวรัสดื้อยาแล้ว 100% ประกอบกับ แพทย์ไม่สามารถตรวจหาเชื้อให้กับผู้ป่วยทุกรายได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์การระบาดในภาพรวมว่ามีเชื้อไวรัสชนิดใด ระบาดอยู่ และแพทย์จะต้องใช้ความ

นายอุดม สุวรรณพิมพ์ นักวิชาการ สุขาภิบาล อบต.แม่ถอด กล่าวว่า ตั้งแต่มีการะบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในอ.เถิน มีผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์แล้ว 228 ราย ยังไม่มีผู้เสียชีวิต คิดเป็นอันตราป่วย ร้อยละ 09.1 ต่อ แสนประชากร โดยในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ กลุ่มนักเรียนร้อยละ 70.61 และกลุ่มนักศึกษา ร้อยละ 9.21 โดยมาตรการป้องกันความรุนแรงของโรคที่สำคัญ 3 ก 1 ล คือ ใกล้ตา ใกล้ใจ ใกล้ชิด และ ลุยแก้ปัญหา โดยจัดหน่วยสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรค ในชุมชน มีระบบเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มแข็ง จัดจุดคัดกรองผู้ป่วยทุกโรงเรียน ทุกงานเทศกาล หรือการชุมนุมโดยได้รับความร่วมมือจากประชาชนในชุมชมเป็นอย่างดี ประชาชนสามารถเข้าถึงป้องกันโรคทั้ง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ได้ง่ายโดยผ่านผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โรงเรียน ฯลฯ

วันเดียวกัน ที่โรงแรมโนโวเทล จังหวัดระยอง นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมมอบนโยบาย อสม.ในเขตจังหวัดภาคกลาง ว่า หลังจากสธ.ได้ให้อสม.ทั่วประเทศที่มีกว่า 970,000 คน เป็นแกนนำรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ และทำการตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการป่วยด้วยไข้หวัดในหมู่บ้านรับผิดชอบ คนละ 10-15 หลังคาเรือน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 เป็นต้นมา พบว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“จากรายงาน อย่างไม่เป็นทางการใน 61 จังหวัด อสม.ได้ออกเยี่ยมบ้านรวมทั้งหมด 2,307,964 คน ประกอบด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต มะเร็ง โรคเลือด หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ คนอ้วน ผู้สูงอายุ จำนวน 1,991,698 คน พบผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่และส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ 44,258 คน หรือประมาณร้อยละ 2 โดยมีอาการรุนแรง 3,705 คน”นายวิทยา กล่าว

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ส่วนในกลุ่มปกติทั่วไป พบมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทั้งหมด 316,266 คนในจำนวนนี้มีอาการรุนแรงต้องส่งตัวพบแพทย์ในโรงพยาบาลรวม 10,175 คน รวมแล้วผลการออกปฏิบัติการของอสม.ครั้งนี้ ได้ค้นพบผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ในหมู่บ้านต่างๆ ที่ต้องส่งตัวเข้าพบแพทย์ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจอย่างละเอียดรวมทั้งหมด 54,433 คน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ แต่ ทำให้เราสามารถคัดกรองผู้ป่วยในหมู่บ้านไปรักษาและเฝ้าระวังสถานการณ์ในหมู่ บ้านได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้สามารถลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้เป็นอันมาก โดยได้ขอความร่วมมือให้อสม.ทั่วประเทศ ปฏิบัติการต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศเริ่มหนาวเย็น และจะประเมินผลต่อไป

ที่มา : http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099855

"วิทยา แก้วภราดัย" ระบุยังไม่ได้รับรายงานไข้หวัด 2009 กลายพันธุ์

รมว.สธ.ระบุ ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในสหรัฐอเมริกา ยืนยัน มาตรการการป้องกันยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขณะนี้ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อ

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าววันนี้ (1 ก.ย.) ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง หลังติดเชื้อ แต่ยืนยันว่า มาตรการในการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีการแพร่ระบาดของเชื้ออยู่ แต่เหตุที่พบการติดเชื้อลดลง เพราะประชาชนมีความตื่นตัวในการป้องกันมากขึ้น ประกอบกับมาตรการในการป้องกันของภาครัฐมีความเข้มข้นมากขึ้น

กรณีที่ ช่วงนี้เริ่มมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดตามฤดูกาล จนทำให้นักวิชาการเกรงว่า จะมีการกลายพันธุ์ของเชื้อนั้น นายวิทยา กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อ

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/30190

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

กทม.รวมพลัง สสส.ส่ง “ปังปอนด์” ยุวทูตวัยใส รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในโรงเรียน 50 ทั่วพื้นที่ กทม.

กทม.รวมพลัง สสส.ส่ง “ปังปอนด์” ยุวทูตวัยใส รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในโรงเรียน 50 ทั่วพื้นที่ กทม. “หมอมาลินี” ยันหวัด 2009 จะไม่กลับมาสร้างปัญหาให้คนกรุงแน่น่อน แต่ขอให้ระวังข้อต่อฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว

วันนี้ (31 ส.ค.) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมแถลงข่าวโครงการ “ปังปอนด์ ยุวทูตวัยใส กับปฏิบัติการปิ๊ดปี้ปิ๊ด รวมพลังสู้หวัด” โดยพญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เนื่องจากสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ใน กทม.ตัวเลขผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต ลดลง ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้น จึงทำให้ประชาชนเริ่มลดการป้องกันลง ในช่วงฤดูฝนต่อเนื่องฤดูหนาว จึงอยากให้ประชาชนตื่นตัวเฝ้าระวังโรค โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาชน กทม.จึงได้ใช้ปังปอนด์เป็นสื่อให้ความรู้ ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่2009 ในโรงเรียน และจัดทำแอนิเมชั่นเผยแพร่ทางทีวี

พญ.มาลินี กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในพื้นที่ กทม.มีแนวโน้มจะไม่เกิดขึ้นเพราะส่วนใหญ่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันแล้ว นอกจากนี้ สั่งการให้ นพ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม.ประสานงานกับกรมปศุสัตว์ให้ความรู้กับผู้ประกอบการเลี้ยงเป็ดไก่ สุกร ก่อนเข้าในฟาร์มต้องคุมเรื่องความสะอาดป้องกันการกลายพันธุ์ของโรคในสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาจกลับมาระบาดได้อีกครั้ง สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ใน กทม. สำนักอนามัยรายงานตัวเลยผู้ป่วยสะสมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552 จำนวน 4,168 คน เสียชีวิต 22 คน หายจากอาการป่วยหรืออาการดีขึ้น 3,520 คน อยู่ระว่างรักษาและติดตามผล 626 คน ผู้ป่วยเป็นเยาชนและนักเรียนร้อยละ 51.3 กลุ่มอายุที่เป็นมากที่สุดคือ 11-20 ปี สำหรับการเฝ้าระวังการระบาดในรอบที่ 2

สำหรับ โรงเรียนที่ปังปอนด์ยุวทูตวัยใสจะไปร่วมรณรงค์เบื้องต้นมีจำนวน 50 โรงเรียน เช่น โรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส, โรงเรียนศิรินุสรณ์วิทยา, โรงเรียนแย้มจาดวิชชานุสรณ์, โรงเรียนยุวทูตศึกษา, โรงเรียนเสนานิคม, โรงเรียนอิสลามสันติชน, โรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์, โรงเรียนวัดบึงทองหลาง, โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง, โรงเรียนวัดเทวะสุนทร, โรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์, โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ , โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย, โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก แผนกประถม, โรงเรียนทิวไผ่งาม, โรงเรียนสมศรีรื่นศึกษา, โรงเรียนคลองทรงกระเทียม เป็นต้น

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099226

ชิโนวัค (Sinovac) บริษัทผลิตยาของจีน เปิดตัววัคซีนป้องกันไข้หวัด 2009 ราคาถูกกว่าตะวันตก

เอเจนซี - บริษัทผลิตยาของจีน ชิโนวัค (Sinovac) - http://www.sinovac.com/ วางแผนจำหน่ายวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสหวัด 2009 ที่จะออกฤทธิ์ภายหลังจากฉีดเข้าร่างกายไปเพียง 1 โดสเท่านั้น และสนนราคาก็ถูกกว่าวัคซีนที่ชาติตะวันตกพัฒนาถึง 30%

อิน เว่ยตง ประธานบริษัทชิโนวัคให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ธุรกิจ “เอลอิโคโนมิสตา” ว่า “วัคซีนของเราจะจำหน่ายในราคาถูกกว่าที่ทางบริษัทตะวันตกผลิต โดยสนนราคาของบริษัทต่างชาติจะอยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐฯ แต่ของเราจำหน่ายในราคาถูกกว่านั้น 30%”

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ชิโนวัคได้เปิดเผยว่า หลังจากทดลองทางการแพทย์แล้วผลปรากฎว่า วัคซีนของชิโนวัคเพียง 1 โดสก็สามารถออกฤทธิ์และเพียงพอต่อการป้องกันเชื้อไวรัส H1N1 ชนิด A แล้ว

ปัจจุบันบริษัทตะวันตกอย่างกลุ่มบริษัทเวชภัณฑ์สหรัฐฯ “Baxter” บริษัท “Sanofi-Pasteur” ของฝรั่งเศส, “Novartis” ของสวิสเซอร์แลนด์ และบริษัท “GlaxoSmithKline” ของอังกฤษ กำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัด 2009 แต่อย่างไรก็ดีผู้รับวัคซีนจะต้องฉีดถึง 2 โดสจึงจะเห็นผล

ทั้งนี้ บริษัทซิโนวัคเป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ได้รับเลือกให้จัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดตามฤดูกาลให้แก่สำนักงาน สาธารณสุขปักกิ่ง แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งอินระบุว่า “เราหวังว่าจะได้รับอนุมัติจากทางการจีนในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกันยายนนี้ เพื่อเริ่มจำหน่ายวัคซีน 5 ล้านโดสที่ทางการจีนสั่งซื้อ”

จากข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WTO) ระบุว่า มีประชาชนไม่ต่ำกว่า 2,180 คนทั่วโลกเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสไข้หวัด 2009 ที่เริ่มพบการระบาดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ประธานบริษัทชิโนวัคยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทของเขามีความสามารถในการผลิตวัคซีน 2 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ในต่างประเทศ อย่าง Novartis ของสวิสเซอร์แลนด์ก็ผลิตได้มากถึง 150 ล้านโดสต่อปีเลยทีเดียว

ปัจจุบันซิโนวัคกำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับทางการประเทศกรีซเพื่อจัด หาวัคซีนสู้หวัด 2009 ให้ และกำลังนำวัคซีนมาทดลองทางการแพทย์ที่ยูเครนด้วย อินกล่าว

ที่มา: http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099363