ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วิทยา" ระดมอสม.เฉียดแสนคน รณรงค์ต้านไข้หวัด 2009 ถวายเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระราชินี

"วิทยา" ระดมอสม.ทั่วประเทศเกือบ 100,000 คน รณรงค์ต้านไข้หวัด 2009 ถวายเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคมนี้ โดยเน้นในเขตชุมชนเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม 2552 กระทรวงสาธารณสุขจะระดมพลัง อสม.ทั่วประเทศ 987,019 คน ร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์สุขอนามัยต้านภัยหวัดใหญ่ ถวายแด่พระแม่แห่งแผ่นดิน ในวันที่ 12 สิงหาคม 2552 เน้นหนักในเขตชุมชนเมืองที่มีประชากรหนาแน่น
ซึ่งเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย กิจกรรมที่จะจัดรณรงค์ครั้งนี้ เช่น การเดิน การวิ่งออกกำลังกายเพื่อสร้างสุขภาพให้แข็งแรง การทำความสะอาดอาคารสถานที่ การให้ความรู้เรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และการคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงหากป่วยเป็นหวัดสายพันธุ์ใหม่ฯ โดยกิจกรรมดังกล่าวจะดำเนินการในที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ขณะนี้ได้ให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมไว้แล้ว

ด้าน นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในการซ้อมแผนรับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 ของชุมชนทั่วประเทศ กรมฯ ได้จัดสาธิตการซ้อมแผนปฏิบัติการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ในชุมชน นำร่องเป็นต้นแบบภาคละ 1 ชุมชน เริ่มในภาคใต้ที่จังหวัดสงขลาเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ภาคกลางที่จังหวัดเพชรบุรีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ภาคเหนือที่จังหวัดลำพูน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดยโสธร ในการจัดซ้อมจะให้เจ้าหน้าที่จากทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละภูมิภาคร่วมชมและนำไปขยายผลต่อในชุมชน

โดย จะมีการซ้อมแผนทั้งบนโต๊ะและฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์สมมุติ ซึ่งจะเน้นการป้องกันและควบคุมโรคของทุกภาคส่วนในชุมชน เน้นบทบาท อสม. ในการเฝ้าระวัง ค้นหาผู้ป่วย ติดตามอาการผู้ป่วยในละแวกบ้าน และเป็นผู้ประสานงานกับองค์กรต่างๆ ในชุมชน ส่วนจังหวัดอื่นๆ ได้สนับสนุนสื่อต้นแบบการสาธิตซ้อมแผนปฏิบัติการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ใน ชุมชน เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดซ้อมแผนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน มั่นใจว่าถ้าโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดเข้าชุมชน เจ้าหน้าที่และประชาชนจะสามารถรับมือได้ทันที

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090047

ประโยชน์ของหน้ากากอนามัย

ปกติถ้าผมอยู่บ้าน ผมจะไม่ใส่หน้ากากอนามัย เพราะถ้าใส่กลัวหลานตัวเล็กอายุแค่ 5 เดือน จำหน้าผมไม่ได้ จะไม่ยอมให้ผมอุ้ม

แต่พอผมออกจากบ้านไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศิริราช ผมไม่ลืมที่จะใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่เริ่มนั่งอยู่ในรถแท็กซี่

ที่โรงพยาบาลพบว่ามีคนใส่หน้ากากอนามัยกันค่อนข้างมาก

หมอก็ใส่ พยาบาลก็ใส่ คนไปรักษาตัวก็ใส่ คนติดตามก็ใส่

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีใครอยากเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นั่นเอง

และเมื่อหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้ ก็ย่อมป้องกันหวัดใหญ่สายพันธุ์เก่าและหวัดเล็กหวัดน้อยได้ด้วย

ผมนั่งรอตรวจอยู่หน้าห้องหมอ มีคนนั่งอยู่เต็มทุกที่นั่ง รวมแล้วหลายสิบคน

ทั้ง ๆ ที่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยโรค เพราะคนที่มาโรงพยาบาล ถ้าไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนป่วย

คนป่วยทั้งหลายเหล่านี้แหละไม่ได้มาโรงพยาบาลแต่ตัว แต่ได้นำโรคมาด้วย

ที่โรงพยาบาลจึงเป็นแหล่งขยายพันธุ์เชื้อโรคได้มากเป็นพิเศษ

ก่อนนี้ เวลาไปโรงพยาบาลทีไรจะกลัวติดโรคหวัดกลับมา หรือวัณโรคก็น่าจะมี เพราะเป็นโรคที่หายไปนานแล้วก็จริง แต่ได้ย้อนกลับมาอีก

ตอนนั้นเวลาผมไปโรงพยาบาลผมก็อยากใส่หน้ากากอนามัยเหมือนกัน แต่รู้สึกแปลกถ้าจะใส่ เพราะไม่มีใครเขาใส่กัน จึงทำได้เพียงพยายามไม่ไปนั่งใกล้กับคนที่มีท่าทางบอกให้รู้ว่าป่วยเป็นหวัด เช่น จาม ไอ สั่งน้ำมูก ให้เราได้เห็น

ไม่เหมือนกับตอนนี้ การใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นเรื่องธรรมดา

ฉะนั้น เมื่อได้ใส่หน้ากากอนามัยจึงทำให้ผมมีความรู้สึกมั่นใจ มั่นใจว่าจะปลอดภัย

ที่คิดมาก่อนว่า ถ้าใส่หน้ากากอนามัยจะหายใจไม่สะดวก เพราะเหมือนมีอะไรมาปิดอยู่บนจมูก แต่พอใส่หน้ากากขึ้นมาจริง ๆ หน้ากากไม่ได้เกะกะอะไรเลย สามารถหายใจได้สะดวกจมูกและสดชื่นอีกต่างหาก เพราะอากาศภายนอกก่อนที่จะผ่านจมูกของเรา ได้ผ่านการกรองจากหน้ากากเรียบร้อยแล้ว

ขณะนั่งรอหมอ ผมอดคิดถึงประโยชน์ของหน้ากากอนามัยไม่ได้

ประการแรกอยากจะชมคนตั้งชื่อหน้ากากชนิดนี้ว่า หน้ากากอนามัย แทนที่จะเรียกว่า ผ้าปิดจมูก หรือ ผ้าปิดปาก ซึ่งจะผิดทั้งคู่ เพราะผ้าชนิดนี้ไม่ได้ปิดแต่ปาก ปิดจมูกด้วย และถ้าใช้คำว่า หน้ากากเฉย ๆ ก็ไม่ถูกอีก เพราะคำว่าหน้ากากนั้น หมายถึงจะต้องปิดหน้าปิดตาก็จะไปกันใหญ่

การเรียกว่าหน้ากากอนามัยจึงถูกต้องที่สุด

แล้วก็คิดต่อไปว่า

หน้ากากอนามัยไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะการป้องกันโรคทางเดินหายใจเท่านั้น ยังได้ประโยชน์อื่น ๆ อีกหลายอย่างมาก เช่น

1. ใช้ใส่กันฝุ่น เวลากวาดบ้านหรือต้องเดินทางไปตามถนนที่มีฝุ่น หน้ากากอนามัยช่วยได้ดี ถ้าผู้ใดเคยไปเที่ยวเวียดนามจะเห็นหญิงสาวไม่ว่าจะอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์หรือ จักรยานจะใส่หน้ากากอนามัยกันแทบทุกคน

2. คนปากเหม็น หน้ากากอนามัยก็จะทำหน้าที่กั้นกลิ่นไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านรบกวนจมูกคนอื่น

3. หญิงสาวถ้าใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่จำเป็นจะต้องทาปากให้สิ้นเปลือง

4. คนไม่สวยถ้าใช้หน้ากากอนามัยจะดูลึกลับและสวยขึ้น ทำให้หนุ่ม ๆ สนใจ

5. คนที่มีปากห้อย ปากแบะ ปากหนา ปากไม่สวย และไม่มีดั้งจมูก หน้ากากอนามัยสามารถปกปิดให้ได้

6. ตำรวจจราจรบางคนที่ชอบไถเงินรถสิบล้อ ถ้าใช้หน้ากากอนามัยควบคู่กับแว่นตาดำ รับรองว่าไม่มีใครจำหน้าได้

7. ตามข้อ 6 เมื่อจำหน้าไม่ได้ หน้ากากอนามัยจึงเหมาะสำหรับใส่เพื่อทำความผิดได้ทุกเรื่อง เช่นปล้นธนาคาร วิ่งราวทรัพย์ หรือข่มขืนผู้หญิง

8. พ่อบ้านที่ชอบดื่มเหล้าตอนเลิกงาน เวลากลับถึงบ้าน ถ้าใส่หน้ากากอนามัยจะไม่มีกลิ่นเหล้าออกจากปากรบกวนจมูกเมีย

9. ถ้ามีเมียเป็นคนพูดมาก ขี้บ่น ควรให้เมียใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นประจำ รับรองว่าการบ่นจะน้อยลง

10. ใครก็ตามที่เวลานอนหลับมีน้ำลายไหล ถ้าใส่หน้ากาก อนามัยจะช่วยปกปิดน้ำลายที่ค่อย ๆ ยืดออกจากปากไว้ได้

11. คนนอนกรน หน้ากากอนามัยจะเก็บเสียงให้มีเสียงกรนเบาลง

12. สามารถนำหน้ากากอนามัยมาให้เด็กหรือลูกหลานใช้สีวาดได้ หรือจะวาดเองก็ได้ เพื่อจะได้รูปที่ต้องการ ถือเป็นงานศิลปะบนหน้ากากที่ทำให้การป้องกันไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้มีสีสัน

13. ถ้าใส่หน้ากากอนามัยนั่งส้วม ช่วยดับกลิ่นได้ระดับหนึ่ง

หน้ากากอนามัยคงมีประโยชน์อื่นอีกหลายอย่าง แต่ที่ผมนึกได้มีเพียงแค่นี้เอง

เมื่อหน้ากากอนามัยมีประโยชน์มากขนาดนี้ ทุกท่านจึงควรมีไว้ปิดจมูกและปากโดยพลัน.

ไมตรี ลิมปิชาติ

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=534&contentId=13024