ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009

เอเอฟพี - ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 แต่ตอนนี้มีอาการดีขึ้นแล้ว โฆษกส่วนตัวแถลงวานนี้ (30) เพียงไม่กี่วันหลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตระดับภูมิภาคในอาร์เจนตินา

ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1ในแถบละตินอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดหนักที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 รายในเดือนนี้

ประธานาธิบดีอูริเบ เริ่มมีอาการหวัดตั้งแต่วันเสาร์ (29) หลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตที่อาร์เจนตินา จึงต้องเข้ารับการตรวจเช็ค โดยผลยืนยันว่า ผู้นำโคลอมเบียติดหวัด2009 ทั้งนี้จากคำแถลงของเซซาร์ เวลัสเกซ โฆษกส่วนตัว

"ประธานาธิบดีจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ และจะถูกกักตัวระยะหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น" ทั้งนี้ตามที่ระบุในคำแถลง พร้อมย้ำด้วยว่า อูริเบมีอาการดีขึ้นและจะทำงานจากบ้านพัก

เวลัสเกซยังแถลงอีกว่า ทางทำเนียบประธานาธิบดีได้แจ้งให้รัฐบาลต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ให้ตรวจเช็คหากผู้ใดมีอาการป่วย

"เรากำลังแจ้งให้ผู้นำรัฐบาลและทุก ๆ คน ที่สัมผัสใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอูริเบทราบแล้ว" โฆษกกล่าว

จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากหวัด2009 จำนวน 34 รายในโคลอมเบีย และมีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 621 คน ทั้งนี้จากข้อมูลของทางการ

"ปธน.โคลอมเบีย"ติดหวัด2009

เอเอฟพี - ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 แต่ตอนนี้มีอาการดีขึ้นแล้ว โฆษกส่วนตัวแถลงวานนี้ (30) เพียงไม่กี่วันหลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตระดับภูมิภาคในอาร์เจนตินา

ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1ในแถบละตินอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดหนักที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 รายในเดือนนี้

ประธานาธิบดีอูริเบ เริ่มมีอาการหวัดตั้งแต่วันเสาร์ (29) หลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตที่อาร์เจนตินา จึงต้องเข้ารับการตรวจเช็ค โดยผลยืนยันว่า ผู้นำโคลอมเบียติดหวัด2009 ทั้งนี้จากคำแถลงของเซซาร์ เวลัสเกซ โฆษกส่วนตัว

"ประธานาธิบดีจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ และจะถูกกักตัวระยะหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น" ทั้งนี้ตามที่ระบุในคำแถลง พร้อมย้ำด้วยว่า อูริเบมีอาการดีขึ้นและจะทำงานจากบ้านพัก

เวลัสเกซยังแถลงอีกว่า ทางทำเนียบประธานาธิบดีได้แจ้งให้รัฐบาลต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้ง ให้ตรวจเช็คหากใครมีอาการป่วย

"เรากำลังแจ้งให้ผู้นำรัฐบาลและทุก ๆ คน ที่สัมผัสใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอูริเบทราบแล้ว" โฆษกกล่าว

จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากหวัด2009 จำนวน 34 รายในโคลอมเบีย และมีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 621 คน ทั้งนี้จากข้อมูลของทางการ

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099072

อยากรู้ไหมประเทศอะไรที่มียอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัด 2009 สูงสุดในโลก

เอเอฟพี - กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลเผยในวันพุธ (26) ว่ามียอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สูงถึง 557 รายแล้ว กลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกแซงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งมีสถิติผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 522 รายนับถึงวันที่ 20 ส.ค.
ขณะนี้รัฐบาลบราซิลกำลังจัดสรรงบประมาณราว 1,000 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อวัคซีนต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 จำนวน 73 ล้านโดส รวมทั้งสต็อกยาทามิฟลูและอุปกรณ์วินัจฉัยโรคสำหรับโรงพยาบาลต่างๆ

ทว่า อัตราการติดเชื้อในบราซิลก็ดูเหมือนกำลังลดลง เนื่องจากภูมิภาคในซีกโลกใต้กำลังจะผ่านพ้นฤดูหนาวในช่วงปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลย้ำว่า หากเทียบจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมด 190 ล้านคนแล้ว อัตราการเสียชีวิตในบราซิลยังอยู่ในอันดับ 7 ของโลก โดยอาร์เจนตินา ชิลี คอสตาริกา อุรุกวัย ออสเตรเลีย และปารากวัย อยู่ในอันดับสูงกว่า ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งมีประชากรราว 300 ล้านคน อยู่ในอันดับที่ 13

อนึ่ง อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับ จำนวนประชากร โดยล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 439 ราย

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098096

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หมอมงคล" ห่วงไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดหนักพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน

“หมอมงคล” ห่วงหวัดใหญ่ 2009 ระบาดหนักพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน โดยเฉพาะเชียงใหม่ ลำปาง นครสวรรค์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ตัวเลขการติดเชื้อยังสูง 1 ก.ย.เตรียงไปลำปาง หวังสกัดการระบาด

นพ.มงคล ณ สงขลา

นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานอนุกรรมการสนับสนุนการป้องกันควบคุมและการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ว่า ขณะ นี้จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา สถานการณ์ยังคงน่าห่วง เพราะการแพร่ระบาดและการติดเชื้อของประชาชนในต่างจังหวัดมีความรุนแรงมาก ขึ้น และอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ ลำปาง และนครสวรรค์ มีอัตราติดเชื้อเร็วมาก ส่วนจังหวัดร้อยเอ็ดยังพุ่งสูงเช่นกัน ส่วนที่ จ.นครราชสีมาเริ่มทรงตัว ดังนั้น ในวันที่ 1 กันยายนนี้ ตนจะไป จ.ลำปาง เพื่อหาแนวทางป้องกัน ลดตัวเลขแพร่ระบาดลง

"ส่วนคนกรุงเทพฯ อาจจะรู้สึกว่าเป็นช่วงขาลง แต่ต้องระวังว่าอาจจะกลับมาอีกครี้ง ดังนั้น ทุกฝ่ายอย่าได้ประมาทจะต้องตื่นตัวและช่วยกันดูแลป้องกันตลอดเวลา ถ้าไม่ช่วยกันจะอันตรายมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ออกมา"นพ.มงคลกล่าว

นพ.มงคล กล่าวด้วยว่า จากการเดินทางไปพบกับหน่วยงานราชการและเอกชนเพื่อร่วมมือกันรณรงค์ป้องกัน การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 พบว่ามีการตื่นตัวค่อนข้างสูง เช่น กองทัพอากาศ มีการจัดบิ๊กคลีนซิ่ง (Big Cleaning) ทำความสะอาดทั้งกองทัพ เครื่องบิน ซี 130 เช่นเดียวกับกองทัพบกและกองทัพเรือได้ดำเนินการป้องกันมาเป็นระยะเวลา 4 เดือนแล้ว นอกจากนี้ จากการเดินทางร่วมประชุมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ จ.นครราชสีมา พบว่า มีความตื่นตัวมาก เช่น มีการตัดเย็บหน้ากากอนามัยแจกกันเองภายในชุมชน

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098714

องค์การอนามัยโลกเตือนมาเลเซียเร่งสร้างความเข้าใจ-ภัยระบาดของไข้หวัด 2009

องค์การอนามัยโลกออกโรงเตือนมาเลเซียต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจกับ ปชช. เรื่องไข้หวัด 2009 ให้รู้ถึงภัยระบาดของโรค ปัจจุบันมาเลย์มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 71 ราย ...

สำนักข่าวต่าง ประเทศรายงานวันนี้ (30ส.ค.) ว่า รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุถึงชาวมาเลเซียยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ 2009 น้อยมาก โดยเฉพาะความรู้ถึงภัยระบาดของโรค ทำให้ชาวบ้านไม่คิดว่าเชื้อหวัดสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 คือภัยอันตราย จึงไม่ตระหนักป้องกัน ทำให้เชื้อหวัดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทางการมาเลเซียจึงพยายามเร่งรณรงค์ให้ประชนสวมหน้ากากอนามัย ปิดปาก ปิดจมูก พร้อมกับรักษาสุขอนามัยด้านอื่น ๆ ภายใต้ชื่อโครงการ "Let stop H1N1"

ทั้งนี้ การสำรวจสถานการณ์ป้องกันภัยระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในมาเลเซีย ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก 3 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ในมาเลเซียเพิ่มเป็น 71 ราย

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/edu/29652

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วิทยา แก้วภราดัย" ลั่นคุมการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่2009 ได้แล้ว

" วิทยา” ยิ้มไทยเริ่มคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่ 2009 ได้ พร้อมวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานวัคซีน จ.สระบุรี สร้างเสร็จ ปี 2556 ส่วนกรณี "เดย์ ไอโฟน" เหยื่อหวัด2009 สธ.ไม่พบตัวอย่างเชื้อ ยอมรับอาจตกสำรวจ

วานนี้(28 ส.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารผลิตวัคซีนป้องกันโรค ไข้หวัดใหญ่ขององค์การเภสัชกรรม ที่ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 เนื่องจากได้รับรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคว่า แนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เริ่มลดลงในเขตเมือง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2550 คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงได้อนุมัติงบประมาณ 1,411.7 ล้านบาท เพื่อให้อภ.ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก ตามมาตรฐานการผลิตที่ดีขององค์การอนามัยโลก (WHO GMP) โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2556

ด้านนพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบเชื้อตาย ชนิดฉีด โดยมีกำลังการผลิตที่ 2 ล้านโด๊สต่อปี และหากเกิดการระบาดใหญ่ อภ.จะใช้เทคโนโลยีผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เชื้อเป็น ชนิดพ่นทางปาก ซึ่งสามารถผลิตวัคซีนมากกกว่าเชื้อตายถึง 30 เท่า ประมาณ 60 ล้านโด๊ส เพียงพอต่อคนไทยทั้งประเทศ”นพ.วิทิตกล่าว

ส่วนกรณีการเสียชีวิตของ “เดย์ ไอโฟน” เจ้าของนามแฝงในบอร์ด Creative 7419 ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ที่ใช้ iPhone สามารถใช้ฟอนท์ภาษาไทยบนหน้าปัด iPhone ได้นั้น นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเช็คข้อมูลตัวอย่างผู้ป่วยที่นำมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจว่าเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่นั้น ปรากฎว่า ไม่มีชื่อของนายณัฐวัฒน์ ปาใจ หรือเดย์ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ คงอาจเป็นเพราะทางโรงพยาบาลเอกชน นำเชื้อไปตรวจยืนยันกับห้องปฏิบัติการแห่งอื่น ซึ่งทางสธ.ต้องยอมรับว่า อาจจะเกิดการตกสำรวจ และจะนำหารือกับฝ่ายบริหารอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรกับความไม่ร่วมมือ ของสถานพยาบาลเอกชน

ที่มา: http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098575

เม็กซิโกอาจมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ถึงล้านคน

เอเอฟพี - ประชากรมากถึง 1 ล้านคนในเม็กซิโก อาจติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าววานนี้ (28) ระหว่างแถลงรายงานผู้เสียชีวิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1เอ็น1 ในประเทศ เพิ่มอีก 5 ราย

จากรายงานผู้เสียชีวิตรายล่าสุด ส่งผลให้ตอนนี้ยอดตายจากหวัด 2009 ในเม็กซิโกเพิ่มเป็น 184 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อ 21,264 ราย โฆเซ อังเกล กอร์โดบา กล่าวในคำแถลง

แต่เตือนด้วยว่า "เราคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเป็น 1 ล้านรายในฤดูหนาวนี้"

ไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 ปรากฎครั้งแรกที่เม็กซิโกเมื่อปลายเดือนเมษายน และระบาดอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,200 รายใน 177 ประเทศ และพบผู้ติดเชื้อแล้ว 209,438 คน ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (ฮู)

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098640

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลือลั่นสนั่นเน็ต รพ.เอกชนเมินรักษาไข้หวัด 2009 เป็นเหตุให้ "เดย์ ไอโฟน" เสียชีวิต

“เดย์” หรือนายณัฐวัฒน์ ปาใจ ภาพจาก Hi5 http://trojancop.hi5.com/

โพสต์กันสนั่น เว็บไซต์ Smart-Mobile.com ไว้อาลัย “เดย์” หรือที่รู้จักกันในนามแฝงกันในบอร์ดว่า Creative7419 เจ้าพ่อแห่ง font บน iPhon ที่ทำให้ชาว iPhone ใช้ font ภาษาไทยได้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 เจ้าตัวโพสต์ข้อความก่อนหน้านั่งรถไฟฟ้าไปหาหมอถึง 3 โรงพยาบาล ได้แค่ยาลดไข้พาราเซตามอล หมอเมินไม่สนตรวจเชื้อ ปล่อยให้กลับบ้าน จนกระทั่งตาย

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ได้มีการฟอร์เวิร์ดเมล ถึงการเสียชีวิตของ “เดย์” หรือ นายณัฐวัฒน์ ปาใจ อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยมีการลิงก์เข้าไปในเว็บไซต์ Smart-Mobile.com ที่ นายณัฐวัฒน์ ได้โพสต์ข้อความเล่าอาการป่วยของตนเองก่อนหน้านี้ จนเสียชีวิต ว่า
“วันนี้ ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาที จนถึงสยาม คนลงเยอะ ก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่า ที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ (หูอื้อ) คลำๆ แล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัส ผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืด เลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่า ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น”

วันรุ่งขึ้น “เดย์” โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอน รพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการวินิจฉัยของแพทย์ ตั้งแต่ รพ.เอกชนแห่งแรกที่ไปหา แล้วแพทย์ระบุว่า เป็นไข้ติดเชื้อ ให้ยาพาราเซตามอลมากิน สองวันต่อมาไข้ไม่ลด ผู้ป่วยไปหาแพทย์ใหม่อีกครั้ง แพทย์ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตรวจละเอียด ให้พาราเซตามอลมาอีก จนไม่ไหวผู้ป่วยจึงนั่งรถไฟฟ้าไปพบแพทย์ตามสิทธิประกันสังคม แพทย์ฉีดยาให้กลับบ้าน

วัน รุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไปตรวจใหม่พบปอดติดเชื้อถึง 25% แต่แพทย์ก็ยังไม่สั่งให้นอน รพ.บอกให้กลับบ้าน จนกระทั่งผู้ป่วยรู้ตัวว่าไม่ไหวจึงไป รพ.แห่งที่ 3 และพบว่า เป็นไข้หวัด 2009 แต่ก็สายเกินไป ในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดเมลนี้ ระบุว่า อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของแพทย์ และประชาชน แต่กลับมีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น

กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต

“วันนี้ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาทีจนถึงสยาม คนลงเยอะก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่าที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ(หูอื้อ) คลำๆแล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัสผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืดเลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่าถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น”

กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต

วันรุ่งขึ้น “เดย์”โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอนรพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก “

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการวินิจฉัยของแพทย์ ตั้งแต่รพ.เอกชนแห่งแรกที่ไปหา แล้วแพทย์ระบุว่าเป็นไข้ติดเชื้อ ให่ยาพราราเซตามอลมากิน สองวันต่อมาไข้ไม่ลด ผู้ป่วยไปหาแพทย์ใหม่อีกครั้ง แพทย์ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตรวจละเอียด ให้พาราเซตามอลมาอีก จนไม่ไหวผู้ป่วยจงนั่งรถไฟฟ้าไปพบแพทย์ตามสิทธิประกันสังคม แพทย์ฉีดยาให้กลับบ้าน

วันรุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไปตรวจใหม่พบปอดติดเชื้อถึง 25 % แต่แพทย์ก็ยังไม่สั่งให้นอนรพ. บอกให้กลับบ้าน จนกระทั่งผู้ป่วยรู้ตัวว่าไม่ไหวจึงไปรพ.แห่งที่ 3 และพบว่าเป็นไข้หวัด 2009 แต่ก็สายเกินไป ในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดเมลล์นี้ระบุว่า อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของแพทย์ และประชาชนแต่กลับมีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098059

นายแพทย์มงคล ณ สงขลา เตือนให้ระวังไข้หวัด2009ระลอก2ช่วงปลายฤดูฝน

ประธานอนุกรรมการควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาไข้หวัด 2009 ระบุ วิกฤติไข้หวัด ระลอก 2 ใน 2 เดือนข้างหน้า ในช่วงฤดูฝน ต่อฤดูหนาว ...

เมื่อช่วงสายของวันนี้ (27 ส.ค.) ที่โรงแรมเฮอมิเทจรีสอร์ท และ สปา อ.เมืองนครราชสีมา นายแพทย์มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ประธานอนุกรรมการควบคุมป้องกัน และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ( H1N1 ) 2009 กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมความร่วมมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของไข้ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฯ ว่า ในขณะนี้สถานการณ์ตามต่างจังหวัดในหลายพื้นที่ปรากฏว่าตัวเลขไปขึ้นในต่าง จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต จ.กาญจนบุรี เพชรบุรี และ ภาคเหนือ

นายแพทย์มงคล กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เริ่มลดลงหรือชะลอลงไป ฉะนั้น จะต้องปูพรหมในทุกพื้นที่ เพื่อจะให้ผู้บริหารในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด ได้เตรียมการป้องกันเรื่องนี้ ตรงนี้ทางทีมงาน สสส. ทีมงาน สปสช. ประกันสุขภาพ และทีมงานกระทรวงฯ ทั้งหลายที่ผนึกกำลังร่วมกันกับทางมหาวิทยาลัยด้วย ที่จะพยายามระดมกันไปตามต่างจังหวัด เพื่อปลุกระดมให้กับทุกฝ่ายได้เอาเอกสาร ข้อมูลต่างๆในการที่จะดำเนินการควบคุมป้องกันเอาไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้ เต็มที่ ถ้าทุกคนร่วมกันไม่ว่าครอบครัว ชุมชน ในตำบล อำเภอ ทำอย่างจริงจัง คิดว่าสิ่งที่เริ่มผงกหัวขึ้นของตัวเลขในต่างจังหวัด คงจะเสมอหรือชะลอไป และในที่สุดคงจะสามารถทำให้ลดลงไปได้ และผ่านพ้นวิกฤติในช่วงหมดหน้าฝนต่อกับหน้าหนาว ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่กลัวมากที่สุดคือ ในช่วงอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ เพราะปกติเชื้อไวรัสจะเป็นในช่วงหน้าหนาว ถ้าสามารถจะผ่านปลายปีนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

นายแพทย์มงคล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงเปลี่ยนหน้าฝนไปหน้าหนาวประชาชนต้องดูแลตัวเองไม่ไปสัมผัสกับเชื้อ ไม่ว่าน้ำมูก น้ำลาย หรือ เสมหะ หรือเข้าไปอยู่ใกล้กับคนที่เป็นหวัด ตรงนี้ต้องป้องกัน ขณะเดียวกันต้องส่งเสริมสุขภาพของตัวเองให้ดีให้มีภูมิต้านทาน และถ้าใครป่วย ต้องแยกให้ถูกวิธีและชัดเจน และป้องกันกันอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า อัตราผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยทั่วประเทศสะท้อนว่า วิ่งตามปัญหาหรือไม่ นายแพทย์มงคล กล่าวว่า อัตราการป่วย การตาย อย่าเอาเป็นเครื่องชี้วัด ทุกคนต้องเป็นเจ้าภาพในการดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว และดูแลชุมชน โดยเฉพาะ อบต.ที่คิดว่ามีบทบาทที่สำคัญมาก ส่วนการผลิตวัคซีนดำเนินการมากว่า 2 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาสนใจ ตอนที่มีไข้หวัด 2009 ฉะนั้นทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญของประเทศ มีความชำนาญในเรื่องนี้ค่อนข้างพร้อม เพียงแต่คอยเอาเชื้อตัวนี้เข้ามา เพื่อจะใช้ในการทำวัคซีน แต่ความรู้นี้ยังเป็นความรู้ใหม่ การทำวัคซีนอาจจะขัดข้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและองค์การอนามัยโลก กำลังแก้ปัญหาอยู่

นายแพทย์มงคล กล่าวอีกว่า ตนมั่นใจว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า จะได้วัคซีนของเราเอง แต่การที่จะสั่งจองซื้อตรงนั้นตนเรียนว่า จองซื้อเท่านั้น เพราะยังไม่มีที่ไหนผลิตวัคซีนได้ ซึ่งทำเองเอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่เผื่อผิดพลาดได้ไปจองซื้อของคนอื่นไว้ด้วย ถ้าหากว่าของเราเกิดมีปัญหา จะได้ใช้ของคนอื่น หรือถ้าของคนอื่นมีปัญหา ก็ไม่ต้องไปซื้อา เพราะเป็นการจองเท่านั้นเอง เหมือนกับเป็นการซื้ออาวุธสงครามมาเก็บเอาไว้ เพื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ

นายแพทย์มงคล กล่าวด้วยว่า การทดสอบวัคซีนในคน หรือสัตว์ คงจะเป็นไปในระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิม แต่การที่จะเอาออกมาใช้ต้องพยายามผลิตในต้นทุนต่ำกว่านี้ และผลผลิตสูงกว่านี้ ถ้าผลิตได้ต้องให้ครบที่จะใช้กับคนทุกคนได้จะดี แต่ขึ้นอยู่กับผลผลิตว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/29063

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กลุ่มประเทศยากจนหวั่นถูกประเทศพัฒนากว้านซื้อวัคซีนไข้หวัด2009

เอเจนซี - แอฟริกาใต้ไม่มีทางเลือกเว้นแต่ต้องพัฒนาวัคซีนต้านไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของตนเอง รัฐมนตรีสาธารณสุขระบุเมื่อวันพุธ(26) อ้างถึงความกังวลว่าวัคซีนจะไม่เข้าไปถึงกลุ่มประเทศยากจน

"แอฟริกาใต้ได้มาถึงสถานการณ์ที่เราไม่มีทางเลือกเว้นแต่เริ่มต้น พัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนด้วยตนเอง และไม่ใช่แค่เพียงสำหรับเชื้อเอช1เอ็น1 แต่รวมถึงทั่วๆไปด้วย" แอรอน มอตโซอาเลดี รัฐมนตรีสาธารณสุขแอฟริกาใต้บอกกับรัฐสภา

"นี่คือสถานการณ์วุ่นวายของโลก ณ วันนี้...ที่มีความกังวลมาจากรัฐมนตรีสาธารณสุขกัมพูชา ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากกระบวนการผลิตวัคซีน ชาติพัฒนาแล้วอาจต้องการให้วัคซีนครอบคลุมพลเมืองของพวกเขาเป็นอันดับแรก ก่อนคิดถึงชาติกำลังพัฒนา" มอตโซอาเลดี กล่าว

อุตสาหกรรมวัคซีนกำลังเติบโตในแอฟริกาใต้ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าประเทศแห่งนี้ยังไม่มีขีดความสามารถเพียงพอในการผลิต วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ได้ในเร็ววันนี้

องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009เป็นโรค ระบาดเมื่อเดือนมิถุนายน และจนถึงเวลานี้มันได้คร่าชีวิตพลเรือนทั่วโลกไปแล้วอย่างน้อย 1,800 ราย หลังจากแพร่กระจายไปเกือบ 180 ประเทศ ในจำนวนนั้นรวมไปถึง 25 ชาติในทวีปแอฟริกาด้วย

ตัวเลขล่าสุดของสถาบันควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1ในประเทศแล้ว 15 รายและมีผู้ติดเชื้อกว่า 5,000 คน

ทั้งนี้มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้หญิงตั้งครรภ์และเด็กๆ ทั่วโลกแล้วกว่า 182,000 ราย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขผู้ติด เชื้อที่แท้จริงน่าจะเป็นหลายล้านคนเข้าให้แล้ว

แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่สามารถรักษาหายได้โดยใช้ยาโอเซลทามิเวียร์ แต่มีคำแนะนำให้ใช้วัคซีนสำหรับวิธีป้องกันพลเรือนในวงกว้าง

มอตโซอาเลดี กล่าวว่า "น่าเสียดาย...ที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่มีความสามารถในการผลิตวัคซีนด้วยตนเอง และขณะดียวกัน กระบวนการผลิตทั้งหมดอยู่ในยุโรป อเมริกา รวมไปถึงจีน"

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097599

เชิญชวนคนรุ่นใหม่กินผักผลไม้ต้านภัยไข้หวัด 2009

ตอนนี้คนไทยกำลังกลัว เรื่องไข้หวัด 2009 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ รวมไปถึงสารพัดโรคติดต่อที่มีข่าวอยู่ ทำให้หลายคนถึงกับวิตกกังวลจนชีวิตไม่เป็นสุข ต้องหายามากินป้องกันบ้าง สวมหน้ากากกันเชื้อโรคบ้าง
แต่การป้องกันโรคระบาดต่างๆ ที่ยั่งยืนนั้นคือพยายามทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ เภสัชกร มหาวิทยาลัยมหิดล มีคำแนะนำว่าคุณแม่บ้านและหนุ่มสาววัยทำงานยุคปัจจุบันควรต้องหันมาให้ความสำคัญ ในการเลือกสรรพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่แล้ว นำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อต้านภัยไข้หวัด

“คนไทยเราโชคดีที่สุดที่มีความหลากหลายทางทรัพยากร และภูมิปัญญาของเราเอง ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมาก่อน และร่างกายเราเองก็ไม่รู้จัก ในทางทฤษฏีการแพทย์แผนไทย เน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค การบริโภคพืชผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค**(Anti Occident)** เป็นการป้องกันจากภายในโดยเข้าไปช่วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับเม็ด เลือดขาว”
ความหลากหลายของผักและสมุนไพรพื้นบ้าน ซึ่งคนโบราณมีวิธีแยกความแตกต่างและคุณประโยชน์ จากสี กลิ่น และรสชาติ ทำให้สามารถนำมาใช้ได้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งในช่วงที่เป็นไข้หวัดและไม่เป็นไข้หวัด

จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการ กินของคนไทยจะเลือกพืชผักที่มีสีสวยและกลิ่นหอม สีสดๆ อาทิ หอมแดง จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ชนิดที่มีกลิ่นหอมเท่ากับน้ำมันหอมระเหย ส่วนผักที่มีรสเปรี้ยว ฝาด จะมีกรดวิตามินซีสูง เพิ่มความต้านทานไข้หวัด ในเชิงวิทยาศาสตร์มีสาร **ไพโทนิน** ในพืชผักซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่คนไทยในแต่ละท้องถิ่นเห็นถึงความแตกต่าง และเลือกนำมากินได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี


สำหรับพืชผักที่ควรนำมาบริโภคในช่วงไข้หวัดระบาดนี้ ได้แก่กลุ่มผักมีสี อาทิ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศ มะละกอ กลุ่มที่มีกลิ่นหอม อาทิ หอมแดง กระชาย มะตูม กลุ่มที่มี รสเปรี้ยว อาทิ สมอ มะขามป้อม ส่วนที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง ขมิ้น โหระพา กระเพรา กลุ่มรสฝาด อาทิ สมอไทย สมอพิเภก ชาเขียว สำหรับรสขม สะเดา เพกา(ลิ้นฟ้า) ซึ่งมีวิตามินซีสูงมาก

ส่วนการรับประทานนั้น ควรจะนำมาปรุงเป็นอาหารเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติและช่วยให้รับประทานได้ง่ายมีรส ชาติมากขึ้น เมนูที่ปรุงง่ายและได้ประโยชน์คงไม่พ้น “ยำผักสมุนไพร” หรือ “ผักสด-ผักลวดจิ้มน้ำพริก” ดูจะเป็นอาหารไทย ๆ ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายแถมใช้เวลาในการปรุงไม่มากนัก และรสชาติที่ออกเปรี้ยว-เผ็ด-เค็ม-หวาน น่าจะถูกปากเวลาทาน และถ้าเป็นไปได้ควรพยายามรับประทานผักเหล่านี้ให้ได้ทุกวัน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีสูงต้านไข้หวัดแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันลดมะเร็งซึ่งเป็น ผลดีในระยะยาว

**ข้อมูลจาก งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 2-6 กันยายน 2552 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ที่มา: http://manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097218

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สธ.รณรงค์ใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันหวัด 2009

เวลา 09.00 น. วันนี้ (25 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมานิต นพอมรวดี รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ของโรคอยู่ในช่วงที่เบาบางลง และในภาพรวมประชาชนก็ตื่นตัวรับทราบข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการดูแลตัวเองและป้องกันโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จะต้องดูแลสุขภาวะและอนามัยของคนไทยทั้งประเทศ ด้วย แต่ในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค.นี้ เป็นช่วงที่อากาศอยู่ในสภาวะปลายฝนต้นหนาว จะต้องมีการเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงอากาศเปลี่ยน และในหลายประเทศก็เพิ่มความระมัดระวังเช่นเดียวกัน หากประเทศไทยจะเพิ่มมาตรการป้องกันตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องดี โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์ให้ประชาชนใช้หน้ากากอนามัยที่เป็นผ้าให้มากขึ้น เพราะหน้ากากแบบกระดาษจะทำให้เป็นขยะ และยังมีปัญหาในเรื่องคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กำหนดไว้ เพราะมีบางส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศ.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16164

ไทยได้วัคซีน "หวัด 2009" ล็อตแรกแล้ว

ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (25 ส.ค.) นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแม้การเพาะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในไข่ปลอดเชื้อจากประเทศเยอรมนี จะได้ปริมาณไวรัสน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกบอกว่า อยู่ในระดับที่นำมาทำวัคซีนได้ ดังนั้น ในวันนี้จึงได้มีการบรรจุเชื้อไวรัสที่แช่แข็งลงไปในขวดบรรจุวัคซีน ทำให้ได้วัคซีนล็อตแรก ซึ่งวัคซีนล็อตแรกที่ได้วันนี้จะนำไปทดสอบความปลอดภัยในหนูทดลอง ใช้เวลาประมาณ 10 วันขึ้นไป หากปลอดภัยจะนำไปฉีดให้อาสาสมัคร 24 คน ต่อไป

ผอ.อภ. กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดเชื้อไวรัสในไข่ปลอดเชื้อล็อตที่ 2 นั้น พบว่า หลังจากยืดระยะเวลาฟักตัวอ่อนยาวขึ้น เมื่อเปิดไข่ดูพบว่า ได้ของเหลวในไข่มากขึ้นประมาณ 10 ซีซีต่อฟอง จากเดิมที่ได้เพียง 3-4 ซีซี คาดว่า วันศุกร์ที่ 28 ส.ค.นี้ จะได้ผลการคำนวณปริมาณไวรัสว่า จะได้มากกว่าล็อตแรกหรือไม่ หากได้ 8-9 ล็อกถือว่า เป็นข่าวดี ทั้งนี้ ในส่วนของไข่ไก่ปลอดเชื้อนั้น ได้มีการสั่งนำเข้าจากสหรัฐฯอีก 4,500 ฟอง เพื่อนำมาผลิตวัคซีน.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16276

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วิทยา" เผยเตรียมรับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 หวั่นระลอก2 ระบาด

“วิทยา” เผย 3 เดือนครึ่ง “หวัด 2009” ทำสะบักสะบอม ระบุแม้นายกแพทยสภาจะบอกว่า ไม่น่าจะมีระบาดระลอก 2 แต่จะไม่ประมาท ขณะที่ พ่อ-แม่ หนุ่มวัย 28 ปี ที่เสียชีวิตด้วยอาการคล้าย “หวัด 2009” บุก สธ.วอน “วิทยา” เร่งสอบสวน 2 รพ.เอกชน ช่วยขอเวชระเบียน ส่วนค่ารักษาทั้งสิ้น 2.7 ล้าน ทยอยจ่ายไปแล้วล้านบาท ยอมรับค่ารักษาสูงมาก ขณะที่ “วิทยา” ติดใจวิธีการรักษา สั่ง สบส. สอบหาข้อเท็จจริงด่วน เผยพร้อมจะเจรจาต่อรองค่ารักษาให้ ด้านเกษตรกรชาวร้องกวาง ร้องสื่อสามีแข็งแรงดี รพ.มีจดหมายให้ไปฉีดวัคซีนป้องกัน อ้างว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง แต่กลับถึงบ้านเกิดแน่นหน้าอก ญาติรีบส่ง รพ.แต่เสียชีวิตก่อน หมอบอกไม่เกี่ยวฉีดยา แต่เมียคนตายยืนยันแข็งแรงดี ส่วนที่ นครศรีฯ สังเวยอีกราย ชายวัยเพียง 36 ปี ป่วย 4 วันเสียชีวิต เชื่อปอดมีปัญหาแต่คนไข้ไม่รู้ตัว

ที่ จ.แพร่ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. นางสุจอง ตาเถิง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41 หมู่ 10 บ้านผาหมูเหนือ อ.ร้องกวาง ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายพายัพ ตาเถิง อายุ 47 ปี สามี ได้รับจดหมายจาก รพ.ร้องกวาง พร้อมกับ นายถา หาดทราย และนางอำพิน เหตะ วรางกุล ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ขอให้มาฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัด ทั้งที่สามีตนก็ร่างกายแข็งแรง ยังออกไปทำไร่ตามปกติ แต่ก็เชื่อจึงไปฉีดวัคซีนตามที่ได้รับจดหมาย ส่วนอีก 2 คนไม่ไป หลังฉีดแล้ว พยาบาลให้นั่งพักเพื่อดูอาการ เมื่อไม่แพ้ยาก็ให้กลับบ้านได้ จึงออกไปทำไร่ข้าวโพดตามปกติ แต่เกิดอาการแน่นหน้าอก จึงรีบ พาไปส่ง รพ.ร้องกวาง แต่เสียชีวิตก่อน แพทย์ให้รับศพกลับได้โดยไม่มีการชันสูตรพลิกศพแต่อย่างใด บอกว่าสาเหตุการเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งตนยืนยันว่า สามีแข็งแรงและไม่ได้ป่วย แต่ไปฉีดยาตามหมอนัดแล้วก็ตาย จึงมาร้องเรียนขอความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครศรีธรรมราช ว่าในวันเดียวกันนี้ ที่ รพ.มหาราชนครศรีฯ มีคนไข้เป็นชาย อายุ 36 ปี ชาว จ.นครศรีฯ เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัด 2009 โดย นพ.ปิยะ มงคลวงศ์โรจน์ อายุรแพทย์ เปิดเผยว่า คนไข้มีไข้สูงและหอบค่อนข้างหนัก รักษาที่คลินิกแล้วไม่ดีขึ้นจึงมา รพ. ได้เอกซเรย์ปอดพบมีการติดเชื้อที่ปอดทั้งสองข้าง จึงส่งเสมหะไปตรวจ ทราบผลเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีเชื้อไวรัสไข้หวัด 2009 แต่ได้เสียชีวิตไปเมื่อเช้าวันนี้ ซึ่งค่อนข้างเร็วมากหลังเข้ามารักษาเพียง 4 วันซึ่ง รพ.ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว สันนิษฐานว่า ปอดคนไข้น่าจะมีปัญหามาก่อนโดยที่คนไข้ไม่รู้ตัว

ขณะที่ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว. สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่น่าจะระบาดระลอก 2 ว่า ความเห็นของนักระบาดวิทยาก็ยังบอกว่าอาจจะมีการระบาดระลอก 2 อยู่ในช่วงปลายฝน ต้นหนาว ส่วนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ คือ ศ.นพ.สมศักดิ์ ที่ได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ บอกว่ามันจบแล้ว ก็ไม่รู้จะเชื่อหรือฟังใครดี แต่สิ่งสำคัญคือ กระทรวงสาธารณสุขจะประมาทไม่ได้

“แม้จะมีข้าศึกหรือไม่ แต่ก็เตรียมกำลังให้พร้อม และมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ต่อไป เพราะในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ผมสะบัก สะบอมไปทั้งตัว ดังนั้นไม่ว่าจะมีการระบาดระลอกที่ 2 หรือไม่ ก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เพราะหากไม่เตรียมพร้อมเดี๋ยวจะโดนหนักอีก” นายวิทยา กล่าว

ต่อมาช่วงบ่าย นายธวัชสิทธิ์ และนางธัญญพัฒน์ ตวงสินกุลบดี พ่อแม่ของ นายพีรวีร์ ตวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ผู้เสียชีวิตด้วยอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เสียค่าใช้จ่ายไปกว่า 3 ล้านบาทจากการรักษา รพ.เอกชน 3 แห่ง พร้อมด้วย นายปรวุฒิ และนางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล น้าชายและน้าสะใภ้ ได้เข้าพบ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว. สาธารณสุข เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีการเสียชีวิตของนายพีรวีร์ เนื่องจากขอเวชระเบียนของโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งแต่ถูกบ่ายเบี่ยง ส่วนค่ารักษาที่ รพ.แห่งที่ 3 จำนวนเงินทั้งสิ้น 2.7 ล้านบาท ได้ทยอยจ่ายไปแล้วล้านบาทเศษ แม้ไม่ติดใจแต่ก็คิดว่าค่อนข้างสูง

ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแลกองการประกอบโรคศิลปะ รายงานความคืบหน้าการตรวจสอบให้ทราบในวันที่ 25 ส.ค. ภายหลังจากที่ตนได้สั่งการให้เข้าไปดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 2.7 ล้าน บาทในโรงพยาบาลแห่งที่ 3 นั้นตนได้ฝาก สบส. เข้าไปดูแลช่วยเจรจาให้ลดลงแล้ว.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16098

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาธารณสุขรัษฎา ตรัง อบรมอส.รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 อย่างต่อเนื่อง

อบรมอส.รณรงค์ป้องกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม สาธารณสุขตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง นายดำรงค์ แจ้งไข สาธารณสุขอำเภอรัษฎา พร้อมด้วย นายมนัส ชูเกียรติ หัวหน้าสถานีอนามัยตำบลคลองปาง ได้อบรมให้ความรู้ การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และโรคระบาดอื่นในพื้นที่ อาทิ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย โรคไข้เลือดออก เป็นต้น สำหรับการป้องกันในพื้นที่นั้นอาสาสมัครหมู่บ้านถือเป็นบุคคลสำคัญในการเข้า ไปสร้างความรู้ความเข้าใจโรคแก่ประชาชน โดยอาสาสมัครทุกคนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค และนำไปถ่ายทอดต่อประชาชนในหมู่บ้านชุมชนทำให้ประชาชนมีความเข้าใจ ตื่นตัวในการดูแลตนเองตระหนักในการป้องกันโรค ส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในพื้นที่อำเภอรัษฎา ไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งในทุกวันศุกร์ประชาชนต่างร่วมมือกันกำจัดลูกน้ำยุงลายอย่างจริงจังและ ต่อเนื่องตลอดมา นอกจากนี้ทางสาธารณสุขอำเภอรัษฎา ยังได้แจกปรอทวัดไข้แก่อาสาสมัครหมู่บ้านและครูประจำชั้นในโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อเป็นหน่วยคัดกรองเบื้องต้น พร้อมกับแจกหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนเย็บหน้ากากอนามัยใช้เอง เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้แก่ประชาชน

นายดำรงค์ แจ้งไข สาธารณสุขอำเภอรัษฎา ยังกล่าวต่อไปว่า จากการรณรงค์การป้องกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาในพื้นที่อำเภอรัษฎาไม่พบผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย และช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่มีประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก จนทำให้อำเภอรัษฎาได้รับรางวัลอำเภอแข็งแรง ในระดับเขตภาคใต้ ตามยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=15825

องค์การอนามัยโลกหรือฮูเตือนให้รับมือไข้หวัดใหญ่2009ระลอก2

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า วันนี้ (23 ส.ค.) องค์การอนามัยโลก หรือฮู เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลก เตรียมรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระลอก 2 ขณะที่ ขั้วโลกเหนือที่มีประชากรหนาแน่น ก็ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้การระบาดของโรคง่ายและรุนแรงยิ่งขึ้น นางมาร์กาเรต ชาน ผู้อำนวยการฮู เตือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ เคยมีโรคที่ระบาดรอบ 2 และ 3 มาแล้ว เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่า การระบาดที่รุนแรงที่สุดสิ้นสุดไปหรือยัง หรือว่า การระบาดของโรคจะกลับมาอีกหรือไม่ เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน.

ที่มา : http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=5&contentID=15772

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พบผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 รายแรกของกรีซ

เอเอฟพี - ทางการกรีซยืนยันผู้เสียชีวิตรายแรกจากไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ในประเทศ โดยเหยื่อเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจวัย 23 ปี ซึ่งติดเชื้อไวรัสชนิดดังกล่าวจากโรงพยาบาลในกรุงเอเธนส์

ในคำแถลงล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งของโรงพยาบาลโอนาสซิโอ ซึ่งมีอาการโรคหัวใจร้ายแรง ติดเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 เมื่อสองวันที่ผ่านมา

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงสาธารณสุขของกรีซเคยประกาศกร้าวว่า ประชากรทั้ง 11 ล้านคนในกรีซจะต้องฉีดวัคซีนต้านหวัด 2009 "อย่างไม่มีเงื่อนไข" แต่ผ่อนปรนในภายหลังว่า การฉีดวัคซีนจะเป็นไปตามความสมัครใจ

กรีซพบผู้ติดเชื้อหวัด 2009 มากกว่า 1,4000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระทรวงสาธารณสุขแถลง

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095914

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพร 9 ชนิดตำรับ "หลวงปู่ทวด" รักษาโรคหวัดตามฤดูกาลได้ แต่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ 2009

อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ การันตีสมุนไพร 9 ชนิด ตำรับหลวงปู่ทวด ปลอดภัย มีสรรพคุณรักษาโรคหวัดตามฤดูกาลได้ แต่ไม่พบยาตำรับแผนไทยรักษาหวัด 2009 แทนยาโอเซลทามิเวียร์
วันนี้ (20 ส.ค.) นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงกรณียาสมุนไพรตำรับหลวงปู่ทวด ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เป็นยาต้มมีสมุนไพรไทย 9 ชนิด ว่า ขณะนี้ยังไม่มียาตำรับแพทย์แผนไทยชนิดใดรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แทนยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ หรือซานามิเวียร์ได้ แม้แต่สมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร ก็มีสรรพคุณป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยังนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่า สูตรยาสมุนไพรไทยดังกล่าวมีความปลอดภัย แต่ยังไม่มีรายงานผลการวิจัยทางการแพทย์รองรับอย่างเป็นทางการว่าจะต้องรับ ประทานในปริมาณเท่าใดจึงจะป้องกันไข้หวัดได้

“สมุนไพร สูตรยาต้มดังกล่าวมีส่วนผสมหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยลดไข้ และเป็นสมุนไพรที่พบได้ในครัวเรือนเพียงเช่น ฟ้าทะลายโจร ลูกใต้ใบ ขมิ้นชัน ตะไคร้ ใบมะรุม หัวไพล ลูกมะตูม ลูกมะขามป้อม ส่วนอิฐมอญ ที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าทานแล้วอันตรายต่อสุขภาพนั้น ในตำรับสมุนไพรไทยโบราณถือเป็นยาธาตุเย็น ช่วยลดไข้ได้ นอกจากนี้ ในสมุนไพรไทยโบราณมักนิยมนำมูลสัตว์ เช่น ชะมดเช็ด มาปรุงยาซึ่งสรรพคุณของดินในแพทย์แผนไทย ถือเป็นยา แก้อาการไข้ได้” นพ.นรา กล่าว

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094996

"วัคซีนเชื้อเป็น" สำหรับไข้หวัดใหญ่ 2009 ความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง

ในขณะที่หลายคนกังวลว่า ไทยจะผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ไม่ทันความต้องการ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องจับตานอกเหนือจากนั้น นั่นคือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้วัคซีน "เชื้อเป็น" ที่ยังไม่ชัดเจนว่าก่อความรุนแรงต่อผู้รับวัคซีนหรือทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงพันธุกรรมในไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือไม่ และมีเพียง สหรัฐฯ และรัสเซียที่ทำก่อน ส่วนไทยเพิ่งจะเริ่มศึกษาไปพร้อมๆ กับอินเดีย
รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าว ระหว่างการเสวนา "แผนการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ระดับโรงงานขนาดใหญ่" ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ณ อาคาร สวทช. (ถนนโยธี) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 20 ส.ค.52 ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์เข้าร่วมฟังด้วยว่า วัคซีน ไข้หวัดใหญ่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นผลิตมา "เชื้อตาย" (Inactivated vaccine) ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมกำลังผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จาก "เชื้อเป็น" (Live attenuated vaccine) ของไวรัส

การผลิตวัคซีนจากไวรัสเชื้อเป็นนั้น รศ.นพ.ประสิทธิ์ อธิบายคร่าวๆ ว่าเป็นการทำให้เชื้อไวรัสอ่อนแรง แล้วให้เข้าไปเจริญเติบโตในร่างกายได้ แต่อ่อนแอเกินกว่าจะเกิดโรคและทำอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งข้อ แตกต่างระหว่างการใช้เชื้อเป็นและเชื้อตาย คือถ้าใช้วัคซีนเชื้อตายจะต้องฉีดให้แก่ผู้รับในปริมาณมาก ขณะวัคซีนเชื้อเป็นจะฉีดให้ผู้รับในปริมาณที่น้อยกว่า

ดังนั้น เมื่อเกิดการระบาดจึงเลือกใช้ "เชื้อเป็น" เพื่อผลิตวัคซีน แต่ปัญหาคือวัคซีนจากเชื้อเป็น จะใช้ได้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดีและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีมีผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่นผู้ที่ผ่านการทำเคมีบำบัด ป่วยเรื้อรัง ที่อาจเกิดอาการไม่ดีเมื่อวัคซีนได้

สำหรับเชื้อเป็น ของไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น ถูกทำให้อ่อนแรงโดยนำไปแช่ที่อุณหภูมิต่ำ ทำให้เจริญเติบโตได้ไม่ดี แต่ยังไม่ตาย ซึ่ง ภก.สิทธิ์ ถิระภาคภูมิอนันต์ ผู้อำนวยการกองผลิตวัคซีนจากไวรัส องค์การเภสัชกรรม (อภ.) อธิบายว่า เชื้อไวรัสตั้งต้นสำหรับผลิตวัคซีน จะเติบโตที่อุณหภูมิ 32-33 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเจริญเติบโตได้ที่ทางเดินหายใจตอนต้น แต่จะอยู่ไม่ได้ที่อุณหภูมิตั้งแต่ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป

ทั้งนี้ ข้อควรระวังในการใช้วัคซีนจากเชื้อเป็นคือ ไม่ใช้กับผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คนท้อง ผู้ป่วยหอบหืด ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ และใช้ในเด็กได้ตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป

ทั้งนี้มีประเทศที่ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเชื้อเป็นอยู่แล้วคือสหรัฐฯ และรัสเซีย ส่วนประเทศที่กำลังศึกษาคือไทยและอินเดีย โดยไทยนำเข้าเชื้อไวรัสอ่อนแรงจากรัสเซีย ซึ่งมีการทดสอบว่าใช้ได้ในเด็ก และการทดสอบวัคซีนต้องแน่ใจได้ว่า เชื้อจะไม่เติบโตได้ที่อุณภูมิสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส พันธุกรรมของเชื้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และมีการทดสอบตามข้อกำหนดก่อนนำออกไปใช้
อย่างไรก็ดี ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสู่คน ซึ่งเข้าร่วมเสวนาด้วยนั้น ได้กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ถึงประเด็นที่ควรต้องจับตามองต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ 2009 จากเชื้อเป็นว่า ยัง ไม่เคยมีประเทศใดใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเชื้อเป็น ทั้งนี้ต้องตั้งคำถามว่ามีประเทศไหนบ้าง ที่ใช้วัคซีนจากเชื้อเป็น เพื่อความอุ่นใจ ซึ่งหากมีประเทศที่ทำได้แล้ว เราจะได้สอบถามได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

อีกทั้งเชื้ออ่อนกำลังที่นำมาจากรัสเซียนั้น ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนในสัตว์ทดลองว่าสร้างภูมิคุ้มกันได้ทั้งในระดับเซลล์ และในภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือไม่ แล้วใช้สัตว์ในการทดลองไปกี่ตัว เมื่อทดลองฉีดเชื้อในสัตว์แล้วยังมีไวรัสปล่อยออกมาจากสัตว์ได้กี่วัน ซึ่งประเด็นหลังนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้ยกตัวอย่างกรณีให้วัคซีนโปลิโอทางปากแก่เด็กแล้ว ได้ไวรัสที่มีพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปออกมาทางอุจจาระของเด็ก และพ่อซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเด็กแล้วได้รับเชื้อดังกล่าวไปกลายเป็นอัมพาต

อีกตัวอย่างคือกรณีไข้หวัดใหญ่หมูที่ระบาดเมื่อปี ค.ศ. 1976 นั้น สหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนให้กับประชากร และภายหลังจากนั้น 6 สัปดาห์เกิดพบผู้มีอาการแขนขาอ่อนแรงและเส้นประสาทอักเสบ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีเชื้อปนเปื้อนจากขั้นตอนการผลิตวัคซีนในไข่ที่มีเชื้อ ปนเปื้อนอยู่ โดยวัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันวิกฤตที่ทำลายเส้นประสาทตัวเอง ซึ่งการใช้วัคซีนกับประชากร 6-7 พันคนไม่พบอาการดังกล่าว แต่พบเมื่อใช้วัคซีนกับประชากร 40-45 ล้านคน

" สิ่งที่คาดเดาไม่ได้คือในไวรัสของวัคซีนนั้นทำให้เกิดภูมิคุ้มกันวิกฤตขึ้น หรือไม่ แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับในกรณีของการระบาดขึ้นมา" ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวถึงความเสี่ยงจากการใช้วัคซีนเชื้อเป็นที่เราต้องยอมรับ ซึ่งต่างจากวัคซีนเชื้อตายที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่กำลังการผลิตจะไม่ทันต่อการระบาด

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดของวัคซีนเชื้อเป็นตรงที่ใช้ได้กับผู้ที่มี อายุระหว่าง 2-49 ปีเท่านั้น ขณะที่เด็กและคนชราเป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีน แต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะใช้วัคซีนเชื้อเป็น.

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095023

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ในอเมริกาใต้ ถึง 1,300 ราย - วอนเลิกสิทธิบัตรวัคซีนต้านไวรัส

เอเอฟพี - จำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ในละตินอเมริกา -- ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในโลก -- ขยับขึ้นไปเหนือ 1,300 รายแล้วเมื่อวันพุธ(19) หลังจากรัฐบาลของหลายชาติรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ขณะที่ปธน.อาร์เจนตินา วอนบริษัทผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอช1เอ็น ยกเลิกสิทธิบัตรเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม

เด็กนักเรียนในอินเดียสวมหน้ากากป้องกันหวัดพันธุ์ใหม่ ขณะที่ไวรัสเอช1เอ็น1 ส่งผลกระทบต่อทวีปอเมริกาใต้มากที่สุด

ในช่วงค่ำวันอังคาร(18) บราซิล เปิดเผยว่ายอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1 ภายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 368 ราย รั้งอันดับ 2 ของภูมิภาคตามหลัง อาร์เจนตินา ที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 404 รายซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียงจำนวน 447 รายของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

เชื้อไวรัสเอช1เอ็น1 แพร่กระจายในทวีปอเมริกาใต้อย่างกว้างขวางระหว่างที่ซีกโลกใต้อยู่ในช่วงฤดู หนาว และในหลายประเทศก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่แซงหน้าไข้หวัดตาม ฤดูกาลไปแล้ว

ด้วยเหลือเวลาอีกถึงเดือนเศษกว่าที่วัคซีนต้นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่จะสามารถนำมาใช้ได้ ประกอบกับประเทศร่ำรวยกว้านซื้อวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ไว้เกือบ ทั้งหมด -- ชาติในกลุ่มละตินอเมริกากำลังมองไปถึงการละเมิดสิทธิบัตรเพื่อผลิตยาด้วยตน เอง

นางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา ในช่วงค่ำวันอังคาร(18) ยืนยันคำเรียกร้องของเธอที่ขอให้กลุ่มบริษัทยายกเว้นสิทธิบัตรในการผลิต วัคซีนต้านไวรัสเอช1เอ็น1 เพื่อพวกเขาสามารถผลิตวัคซีนเองได้

"ด้วยกรณีบริษัทยายอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถผลิตวัคซีนต้านไวรัสเอช 1เอ็น1 ได้เพียงพอต่อโลก สิทธิทางเศรษฐกิจควรถูกระงับเพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษยชาติ" เธอกล่าว พร้อมระบุว่า อาร์เจนตินา บราซิลและอุรุกวัย ควรร่วมมือกันเพื่อผลิตวัคซีนสำหรับภูมิภาคละตินอเมริกา

ทั้งนี้ในละตินอเมริกามีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วถึง 1,303 ราย ซึ่งถือเป็นจำนวนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตทั่วโลก

ขณะที่องค์การอนามัยโลกเมื่อวันพุธ(12) ยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1 ทั่วโลกแล้ว 182,166 ราย ในจำนวนนั้นมีผู้เสียชีวิต 1,799 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่พบผู้เสียชีวิต 1,462 ราย กว่า 300 คน

องค์การอนามัยโลกระบุต่อว่าไข้หวัดมรณะเวลานี้แพร่ระบาดไปยัง 170 ประเทศและดินแดนต่างๆ โดยประเทศล่าสุดที่พบผู้ติดเชื้อคือ กานา ตูวาลูและแซมเบีย

ส่วนทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้พบมีผู้เสียชีวิตรวมกันถึง 1,579 คน ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 106 คนและยุโรป 53 คน

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094648

ยำสมุนไพรต้านไข้หวัดใหญ่ 2009 สูตร "รมช.มานิต"

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ได้แถลงข่าวการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม “การแพทย์ดั้งเดิมในกลุ่มประเทศอาเซียน” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31 ส.ค.-2ก.ย.ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์
การแถลงข่าวในครั้งนี้เป็นการจัดเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่ก็มีกิจกรรมน่าสนใจมากมายมาโชว์เพื่อชิมลางก่อนการจัดจริง ด้านบิ๊กกระทรวงสาธารณสุขที่เดินทางไปเป็นประธานการเปิดการแถลงข่าวในครั้ง นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น คือรัฐมนตรีช่วยคนเก่งแห่งเมืองโอ่งราชบุรี...มานิต นพอมรบดี นั่นเอง

มาเป็นประธานเปิดงานก็ไม่ได้มามือเปล่า เพราะรัฐมนตรีช่วยแห่งกระทรวงหมอรายนี้ ยังได้หนีบเอาเมนูอร่อยเด็ดต้านหวัดมาโชว์ฝีมือพ่อครัวหัวป่าก์ทำ “ยำสมุนไพรต้านหวัด 2009” สาธิตพร้อมทั้งแบ่งกันชมแบ่งกันชิมอย่างสนุกสนาน

วัตถุดิบหาไม่ยากไม่เย็น รัฐมนตรีช่วยฯ บอกเก็บๆ เอาก้นตู้เย็น หรือในสวนหลังบ้านถ้าใครขยันปลูกผักสวนครัวไว้กินเองยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่ ได้แก่ ตะไคร้ ซอย, หอมแดงซอย, ขิงซอย, ถั่วลิสง, กระเทียมสดหั่นชิ้นเล็ก, พริกขี้หนูซอย, ผิวมะกรูดหั่นฝอย, ใบกะเพรา, สะระแหน่, หมูสับ, น้ำปลาดี, น้ำมะนาวสดและน้ำตาลเล็กน้อย
วิธีการทำไม่ยากเลย จับส่วนผสมทุกอย่างโยนๆ ลงไปในชามผสม กะปริมาณเอาตามชอบเท่าที่อยากกิน แต่ถ้ากำลังเป็นหวัดละก็ควรใส่พริกขี้หนูลงไปเยอะๆ เพื่อไล่หวัด จากนั้นใส่น้ำปลาและมะนาวลงไป ตัดรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อย

“พวก นี้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น โดยเฉพาะที่เลือกมานี้เป็นตัวที่สามารถป้องกันไข้หวัดและทำให้ร่างกายแข็ง แรง กระซิบเคล็ดลับความอร่อยอีกหน่อยว่า สูตรนี้ไม่ตายตัว หากชอบผักอื่นๆ ก็สามารถใส่ลงไปได้อีก อย่างผมชอบผักปลังมาก ผมก็ใส่เข้าไป รับรองอร่อย” มานิต กล่าว

หลังจากทำเสร็จ นอกจากหน้าตาจะออกมาน่ากินแล้ว บรรดาพี่น้องสื่อมวลชน แขกที่มาร่วมงาน รวมถึงพิธีกรสาวสวยอย่าง “แอน-สิเรียม” ที่มีโอกาสลิ้มลองรสมือของพ่อครัวจำเป็นรายนี้ ต่างก็ยกนิ้วให้ในความ “แซบแบบสุขภาพดี” ของรัฐมนตรีมานิตกันทุกราย

... ใครจะเอาไปทำเป็นเมนูกินเล่นๆ หรือกินจริงๆ เจ้าตัวบอก ไม่สงวนลิขสิทธิ์แถมโฆษณาพ่วงท้ายว่า กินบ่อยๆ นอกจากอร่อยแล้ว หวัดจะไม่มาเยือนอีกด้วย...

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094563

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สธ. เผยยอดเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 รอบสัปดาห์ 14 ราย รวมยอดเสียชีวิตสะสม 111 ราย คาดยอดติดเชื้ออีกนับ 5 แสน

สธ. เผยยอดเสียชีวิตหวัดใหญ่ 2009 รอบสัปดาห์ 14 รายร้อยละ 85 มีโรคประจำตัว รวมตาย 111 ราย ยอดติดเชื้อทะลุ 5แสน แนวโน้มการระบาดทรงตัว 25 จังหวัดระบาดเพิ่มขึ้น คาดระบาดต่อเนื่องช่วงปลายฝนต้นหนาว ยังไม่บดื้อยาหรือเชื้กลายพันธุ์ ฮูแนะนำทุกประเทศไม่ต้องรายงานผลการตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้ว แต่ให้ใช้ดัชนีวัดการแพร่ระบาดด้วยโรคปอดติดเชื้อแทน

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 19 สิงหาคม นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ศุภมิตร ชุณหสุทธิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พญ.มอรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และนพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าว สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1 เอ็น1

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ของไทยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคม 2552 ได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 14 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 7 ราย ในจำนวนนี้ร้อยละ85 มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคปอดหรือสูบบุหรี่จัด ภาวะอ้วน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคระบบเลือดและโรคเบาหวาน รวมไทยมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 111 ราย และคาดว่ามีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 5 แสนราย ขณะที่องค์การอนามัยโลกสรุปถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2552 มีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตมายังองค์การอนามัยโลก 1,735 ราย ซึงทั่วโลกใช้วิธีการประเมิน ในอัตราการเสียชีวิต 1 ต่อจำนวนผู้ป่วย 10,000 ราย

ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯของไทย ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวในกทม.และปริมณฑล แต่ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในต่างจังหวัด ซึ่งกระจายทุกภาคใน 25 จังหวัด โดย จังหวัดที่มีผู้ป่วยเกินกว่า 100 รายขึ้นไป ได้แก่ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก กำแพงเพชร ชลบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ระยอง อุบลราชธานี อุดรธานี นครราชสีมา มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช ซึ่งผู้ว่าราชการและสาธารณสุขจังหวัดแต่ละจังหวัดได้ร่วมกันเฝ้าระวังและควบ คุมโรคในพื้นที่ นอกจากนี้ การแพร่ระบาดในกลุ่มอายุ 11-24 ปี โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เริ่มชะลอตัว ส่วนกลุ่มอายุอื่นๆ เริ่มทรงตัว ซึ่งการชะลอตัวการระบาด ทั้งพื้นที่ กทม.และปริมณฑลมีปัจจัยจากประชาชนมีความระมัดระวังป้องกันตัวเองมากขึ้น และภาครัฐและเอกชนช่วยกันให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชน

“ส่วนแนวโน้มการระบาดสำนักระบาดวิทยาคาดการณ์คาดการณ์ว่า ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ประกอบกับเป็นช่วงของการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลซึ่งเป็นประจำทุกปี จึงขอย้ำเตือนประชาชนอย่าละเลยการป้องกันตัว ขอให้ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ และคาดหน้ากากอนามัยเมื่อไปอยู่ในที่มีคนแออัด”นพ.ไพจิตร์กล่าว

นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับการติดตามเฝ้าระวังการดื้อยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้สุ่มตัวอย่างเชื้อจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการคล้าย ไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบ และกลุ่มที่ยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ นำมาตรวจด้วยวิธีทางพันธุกรรม(Genotyping testing) เพื่อหายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยา และวิธียืนยันทางชีววิทยา (Phenotypic testing) เพื่อทดสอบการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์และยาซานามิเวียร์ ตลอด 4 เดือนมานี้จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ยังไม่พบปัญหาเชื้อดื้อยาหรือเชื้อกลายพันธุ์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับ ชาติ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทย์หลายแห่ง ได้ทบทวนตรวจสอบผลการเฝ้าระวังการดื้อยา ซึ่งไม่พบว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ดื้อต่อยาโอเชลทามีเวียร์เช่นกัน

“ขณะนี้มีการรายงานการกระจายยาต้านไวรัสไปสู่คลินิกเอกชนทั่วประเทศ ขึ้น จำนวน 60 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 80 มีคลินิกที่เข้าร่วมโครงการ 571 แห่ง จาก 4,394 แห่ง หรือประมาณร้อยละ 13 แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่กระจ่ายยาให้คลินิกอย่างเดียวแล้วจะช่วยลดอัตราการ เสียชีวิตได้แต่หากมีผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ให้ไปโรงพยาบาล โดยเน้นให้แพทย์ รักษาตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ”นพ.ไพจิตร์กล่าว

รองปลัดสธ.กล่าวด้วยว่า ส่วนสถานการณ์ทั่วโลก แม้ว่าขณะนี้องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าประเทศต่างๆไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูล จำนวนผู้ป่วยที่ตรวจยืนยันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มายังองค์การอนามัยโลก เป็นประจำเช่นในระยะแรกของการระบาด และจะไม่มีการจัดอันดับประเทศตามจำนวนผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตอีกต่อไป แต่สามารถติดตามข้อมูล สถานการณ์การระบาดในระดับนานาชาติทั้งจากองค์การอนามัยโลกและสื่อต่างๆ โดยพบว่าทั่วโลกมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกือบทุกทวีปแล้ว ในออสเตรเลีย มีผู้เสียชีวิตแล้ว 104 ราย มีผู้ป่วยยืนยันกว่า 2 หมื่นราย ผู้ป่วยหนักนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 400 ราย ประเทศญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย คาดว่าการระบาดทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป

พญ.มัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์โลกโดยภาพรวมองค์การอนามัยโลกแนะนำไปยังประเทศต่างๆ ไม่ต้องส่งยืนยันผลการตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่ให้ใช้ดัชนีชี้วัดการป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ เป็นตัวชี้สถานการณ์ของการแพร่ระบาด ซึงขณะนี้แนวโน้มการระบาดในบางประเทศลดลง 3-4 ประเทศ ได้แก่ อาเจนตินา ชิลี ออสเตรเลีย และมีบางประเทศที่มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย ปารากวัย อินโดซีเซีย กัวเตมาลา ส่วนสาเหตุที่โรครุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตจากปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส จะมีการประมวลสถานการณ์ล่าสุดมาใช้ในการวางแผนการทำงานในแต่ละวัน และจะนำแนวทางของแต่ละประเทศมาแลกเปลี่ยนความรู้ และทำเป็นคู่มือ รวมทั้งนำข้อมูลของไทยมาเป็นตัวอย่างเผยแพร่ด้วย

ส่วนการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งพบว่ามีปัญหาการเก็บเกี่ยววัคซีนจากการเพาะเชื้อไวรัสในไข่ไก่ไม่เป็นไป ตามเป้าหมายนั้น ไม่เห็นว่ามีปัญหาสำคัญอะไร ซึ่งปัญหาทางเทคนิคก็ต้องปรับแก้กันไป โดยในวันที่ 20 ส.ค.ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกสำนักงานใหญ่จะประชุมวีดีโอผ่านทางไกล เทเลคอนเฟอร์เรนซ์กับผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยด้านการผลิตวัคซีนอาทิ องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้คุยกันเป็นระยะอยู่แล้ว เพื่อหารือและปรับปรุงความคืบหน้าในการวิจัยดังกล่าว

“ใน ช่วงแรกคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกให้ทุกประเทศเฝ้าระวังและค้นหาผู้ป่วย 100 รายแรกในแต่ละประเทศเพื่อให้รู้จักโรคนี้อย่างดีที่สุด แต่ขณะนี้ได้เลยระยะดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นสิ้นเปลือง โดยให้ทุกมาตรการปรับใช้ดัชนีตัวอื่นมาเสริมการป้องกันการกระจายโรคของแต่ละ ประเทศ แต่ที่องค์การอนามัยโลกต้องการให้แต่ละประเทศมีข้อมูลเพื่อเน้นคำตอบจากคำ ถามที่ควรมีความรู้ว่า โรคเกิดที่ใหม่ที่ใด เชื้อดื้อยาแล้วหรือไม่ รุนแรงขึ้นหรือไม่ ปัจจัยเรื่องการรักษาช้าทำให้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรครุนแรงขึ้นฯลฯ”พญ.มัวรีน กล่าว

ที่มา:http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094242

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"มานิต นพอมรบดี" คาดในสัปดาห์นี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ลดลง

เมื่อเวลา 09.20 น.นายมานิต นพอมรบดี รมช. สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (ซีดีซี) ประกาศลดมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยให้ผู้ป่วยหยุดพักรักษาตัว 3-5 วัน จากเดิม 7 วัน ว่า ประเทศไทยใช้การรักษา โดยดูจากอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก ซึ่งการเก็บตัวอย่างต่าง ๆ ก็เพื่อตรวจสอบว่าการระบาดในระลอก 2 มีโอกาสเกิดขึ้นที่ใด และนำเชื้อมาทดลองการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์

ดังนั้นเรื่องการควบคุมดูแลต้องไม่ประมาท เพราะในช่วงปลายเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ เป็นช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่แล้ว จึงต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น การให้ผู้ป่วยพักรักษาตัว 7 วัน ยังถือว่าเหมาะสม อย่างไรก็ตามฝ่ายวิชาการกำลังพิจารณาเรื่องการลดวันอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ระบุว่าในเดือนส.ค.นี้เป็นช่วงขาลงของการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ 2009 นายมานิต กล่าวว่า ไม่ใช่ช่วงขาลง เพราะขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฤดูฝน ทำให้มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในระลอก 2 ได้ เพราะเมื่อหมดปลายฝนเข้าสู่ต้นหนาว คนก็ยังเป็นหวัดง่ายอยู่ ดังนั้นถ้าจะให้อุ่นใจต้องเข้าสู่ฤดูร้อนในเดือนมี.ค. 2553 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นวัคซีนต้านไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็มาพอดี

รมช.สธ. กล่าวว่า คาดว่าในสัปดาห์นี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 น่าจะลดลงประมาณ 12 คน เพราะกระทรวงสาธารณสุข ได้กระจายยาให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยต่อไป โดยเน้นหน้ากากแบบผ้าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขยะ ส่วนปัญหาในการทดลองวัคซีน ได้มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดแล้ว และขอให้แลกเปลี่ยนความข้อมูลกับประเทศรัสเซียอย่างใกล้ชิดด้วย

ที่มา: http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=400153

อียิปต์ขัดขวางนักแสวงบุญไปนครเมกกะซาอุฯหวั่นติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

เอเจนซี - อียิปต์เมื่อวันจันทร์(17) ขัดขวางนักแสวงบุญหลายร้อยคนที่อายุเกิน65และต่ำกว่า 25 ปี หลายร้อยคนจากการเดินทางไปนครเมกกะ ส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 เจ้าหน้าที่สนามบินเผย
เจ้าหน้าที่สนามบินบอกว่า "50 เปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารที่เดินทางมายังสนามบินไคโรเพื่อเดินทางไปแสวงบุญ ณ ซาอุดีอาระเบียเมื่อวันจันทร์(17) ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ" หลังจากทางการอียิปต์เริ่มต้นใช้มาตรการเข้มงวดด้านการเดินทางเมื่อวัน อาทิตย์(16)

เขาระบุต่อว่าคำสั่งห้ามเดินทางมีผลกระทบกับนักแสวงบุญราว 180-200 คน ในกลุ่มอายุที่ถูกห้ามไปร่วมพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจญ์ ในปีนี้ "พวกที่ถูกห้ามเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 65 ปีและอายุต่ำกว่า 25 ปี เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไข้ไวรัสเอช1เอ็น1

เจ้าหน้าที่สนามบินบอกต่อว่านักแสวงบุญรายใดที่ต้องการไปร่วมพิธีอุ มเราะห์และพืธีฮัจญ์ จะต้องแสดงใบรับรองแพทย์ต่อเจ้าหน้าที่สนามบินในไคโร เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้มีโรคเรื้อรังใดๆ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงโรคเบาหวานด้วย

ด้านโฆษกสำนักงานทนายความของบริษัททัวร์กล่าวว่านักแสวงบุญรายใดที่ถูกปฏิเสธการเดินทางไปยังซาอุดีอาระเบีย จะได้รับเงินคืน

รัฐมนตรีสาธารณสุขชาติอาหรับเห็นพ้องกันเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าต้อง จำกัดจำนวนประชาชนที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์และพิธีอุมเราะ ห์ หลังจากหญิงชาวอียิปต์รายหนึ่งซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบียกลาย เป็นเหยื่อรายแรกในตะวันออกกลางและแอฟริกาที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม โฆษกกระทรวงสาธารณสุขของซาอุดีอาระเบียระบุว่ารัฐบาลของพวกเขาอาจห้ามผู้มี อายุเกิน 65 ปีและเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ในปีนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093648

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พิษจากไข้หวัดใหญ่ 2009 กระทบการท่องเที่ยว ภูเก็ตเจอหนักสุด

ททท.เผยผลสำรวจการระบาดของไข้หวัดใหญ่2009 กระทบยอดนักท่องเที่ยวคนรัฐบาลโหมรณรงค์วิธีปฎิบัติตัวเพื่อป้องกันโรค มากกว่าการแจ้งยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ชี้พฤติกรรมไทยเข้าภูเก็ตวูบ 15% ส่วนจังหวัดท่องเที่ยวแห่งอื่นๆ ภาพรวมลดลง 5-10% ส่งผลบริษัททัวร์ ร้านขายของที่ระลึกและธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบลูกค้าหาย วอนคนไทยหันใส่ใจเตรียมพร้อมเดินทางเลือกใช้ที่พักและร้านอาหารที่สะอาด

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (บอร์ดททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้ทำการสำรวจผ่านสำนักงานททท.ภายในประเทศทั้ง 16 สาขา ทั่วประเทศ ช่วงเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพราะช่วงดังกล่าว ประเทศไทยมีข่าวเรื่องการระบาดของโรคดังกล่าวหนักมาก โดย แยกตามภูมิภาคเน้นจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งพบว่า ภูเก็ตเป็นจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่2009 มากที่สุด โดยมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางเข้าพื้นที่ลดลง มีการยกเลิกห้องพักราว 10-15% ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต้องได้รับผลกระทบ เช่น บริษัทนำเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจที่พัก และขนส่ง ตามลำดับ ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีการยกเลิกการจองห้องพัก มากกว่า 15%

สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรดไข้หวัดใหญ่ 2009 เพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้รับผลกระทบเลย แบ่งเป็น ภาคใต้ ได้แก่ เกาะสมุย ทั้งนี้เพราะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นชาวยุโรป ที่มีการจองที่พกล่วงหน้า ส่วนนักท่องเที่ยวจากเอเชีย เช่น สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น มียกเลิกการเดินทางบ้างเล็กน้อย ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวคนไทยไม่มีผลกระทบเลย ส่วน จ.กระบี่ ก็ไมมีการยกเลิกเที่ยวบินจากต่างประเทศ ส่วนตลาดคนไทย ยังนิยมเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันนักขัตฤกษ์

ส่วนภาคเหนือ อาทิ แม่ฮ่องสอน เชียงราย และ ตาก ภาพรวมมียอดการยกเลิกห้องพักของชาวต่างชาติเพียง 5% แต่ไม่มีการยกเลิกแพกเกจทัวร์หรือเที่ยวบิน ทำให้ธุรกิจที่พักได้รับผลกระทบ 5% ส่วนชาวไทยยังเดินทางเที่ยวเป็นปกติ โดยในส่วนของ จ.ตาก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปประชุมสัมมนาของหน่วยงานราชในพื้นที่ ขณะที่ชาวต่างชาติ จะเป็นกลุ่ม แบคแพกเกอร์(back packer) ที่ชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น น้ำตกทีลอซู ส่วนภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี ได้รับผลกระทบเล็กน้อย โดยมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางเข้าพื้นที่ลดลง 5-10% มีการยกเลิกห้องพักประมาณ 5% ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีการยกเลิกแพกเกจทัวร์ราว 10-15% ส่งผลให้ธุรกิจที่พัก บริษัทนำเที่ยวและร้านขายของที่ระลึก ได้รับผลกระทบด้วย

อย่างไรตาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยรวมแล้ว ไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น โดยยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินทาง เข้าพื้นที่กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่งเที่ยว ที่ ททท.ได้หมุนเวียนจัดในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ โดยจ.สุพรรณบุรียังได้รับอานิสงส์จากการจัดแข่งขันกีฬาระดับประเทศหลาย รายการ ส่วนจ.นครราชสีมา ก็จัดแข่งขันวอลเลย์บอลยุวชนหญิง ชิงแชมป์โลก ซึ่งมีนักกีฬาจาก 15 ประเทศมาเข้าร่วมแข่งขัน

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยที่ลดลง มาจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ และ ความไม่สงบทางการเมือง ส่วนเรื่องการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้ผลกระทบน้อยกว่า ซึ่งการสำรวจของ ททท.ยังพบว่า ส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาล และ ส่วนกลาง เร่งโฆษณาประชาสัมพันธ์ ถึงการรณรงค์วิธีป้องกันตัวเองจากโรค มากกว่าการนำเสนอเพียงสถิติของผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต รวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกให้คนไทยและชาวต่างชาติในเรื่องการเฝ้า ระวังและป้องกันตัวเอง รวมถึงรับผิดชอบต่อสังคม เช่นหากรู้ว่ามีอาการเจ็บป่วยก็ไม่ควรออกไปอยู่ในชุมชน รวมถึงใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในชุมชน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ครั้งนี้ ส่งผลให้ พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยมีการปรับเปลี่ยน โดยทุกครั้งของการเดินทาง จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกที่พัก ร้านอาหาร รวมถึงการดูแลตัวเองด้วยการสวนหน้ากากเมื่ออยู่ในชุมชน สถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ การโดยสารเครื่องบินและรถสาธารณะ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาสอดคล้องกับการสืบค้นจาก blog ต่างๆที่ยังคงเดินทางท่องเที่ยว แต่ระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเองมากขึ้น

ที่มา: http://manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093195

เมนูอาหารง่ายๆ ช่วยป้องกันและสู้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ได้

พูดถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ใครๆ ก็พากันหวาดผวาว่าจะติดเชื้อโรคอุบัติใหม่ชนิดนี้เข้าไปโดยไม่รู้ตัว และกลัวว่าจะมีอาการรุนแรง แถมตอนนี้ก็ยังไม่มีวัคซีนป้องกันอีกด้วย แต่รู้ไหมว่าเราสามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ต่างๆ ได้ เพียงแค่กินอาหารง่ายๆ และมีประโยชน์เป็นประจำ
คณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและอาหารต้านโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2552 โดยแนะนำวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้ด้วยการกินอาหารง่ายๆ แต่มีส่วนผสมของผัก ผลไม้ และพืชสมุนไพรที่ใหประโยชน์กับร่างกาย

อาหารง่ายๆ แต่ช่วยต้านโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีให้เลือกรับประทานอย่างหลากหลาย อาทิ

อาหารรสเผ็ดและเครื่องเทศ เช่น รากผักชี พริก พริกไทย ช่วยลดอาการหวัดคัดจมูก และทำให้หายใจโล่งมากขึ้น

ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก และเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระได้ด้วยการเติมผักหลากสีสันเข้าไปในซุปไก่ ด้วย และยิ่งเป็นซุปไก่ที่ผ่านการเคี่ยวนานๆ จนโปรตีนในไก่ย่อยเป็นสายสั้นๆ จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อได้ซุปไก่ร้อนๆ สักถ้วย

กระเทียม ช่วยลดอาการหวัดได้เป็นอย่างดี จะกินแบบเคี้ยวสดวัน 2-3 กลีบ ก็ได้ หรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพิ่มกลิ่นหอมฉุนด้วยก็ดี

น้ำขิงร้อนๆ กับกระเทียม 2-3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น ขิงยังช่วยลดอาการหวัด หรือป้องกันไข้หวัดได้ด้วย

รับประทานผักผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง วิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดได้เป็นอย่างดี และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ และเน้นว่าควรรับประทานสด เพราะวิตามินซีสูญสลายได้ง่ายเมื่อได้รับความร้อน และหากเป็นน้ำผลไม้คั้นสด ก็ควรรีบดื่มให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง เพราะวิตามินซีจะสูญสลายได้ง่ายเนื่องจากเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับ ออกซิเจนในอากาศ ทั้งนี้ ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกหวาน กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ถั่วงอก มะนาว ส้ม ฝรั่ง มะละกอ และ สตรอเบอร์รี เป็นต้น รวมถึงกล้วยน้ำว้า ที่นอกจากจะมีวิตามินสูง และยังช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้มาช่วยทำลายเชื้อโรคในร่างกายได้

หากเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีอาการหวัด เจ็บคอ ก็ให้นึกถึงฟ้าทะลายโจร พืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาบรรเทาอาการโรคไข้หวัด และอาการเจ็บคอได้เป็นอย่างดี ด้วยฤทธิ์ของแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) สารสำคัญในฟ้าทะลายโจรนั่นเอง และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ หรือดื่มน้ำผักผลไม้เพื่อเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกาย แต่หากมีอาการไอ และมีเสมหะด้วย ให้ดื่มน้ำชา หรือน้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอและเจ็บคอได้เป็นอย่างดี

รู้เคล็ดลับการกินต้านโรคไข้หวัดอย่างนี้แล้ว ถึงแม้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ แต่ถ้ากินอาหารดีมีประโยชน์ ก็ลดความเสี่ยงโรคไข้หวัดใหญ่ได้แล้วทุกสายพันธุ์

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091937

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หลวงพ่อคูณ" ย้ำติดไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่ใช่เรื่องใหญ่

คมชัดลึก :แพทย์ ระบุ ผลตรวจหวัดใหญ่ 2009 หลวงพ่อคูณยังไม่ออก แต่คาดติดแน่นอน ด้านหลวงพ่อคูณ เผย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรติดก็ติด

(15ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า อาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่พักรักษาตัวอยู่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ล่าสุดนายแพทย์พิพิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด และเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณพร้อม ด้วยนายแพทย์อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤติและนายแพทย์ชัยวัฒน์ ตุงคเสรีรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท เข้าตรวจอาการของหลวงพ่อคูณฯพร้อมกับพ่นยาซานามีเวียร์แก่หลวงพ่อคูณฯเพื่อฆ่าเชื้อในปอด

โดยหลวงพ่อคูณดีขึ้นมาก มีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสกว่าทุกวัน และความจำคืนมาปกติแล้ว โดยหลวงพ่อคูณสามารถจดจำลูกศิษย์ได้ทุกคน และทักทายกับแพทย์ลูกศิษย์อย่างอารมณ์ดี ด้านแพทย์ยังให้ยาโอเซลทามิเวียร์ และยาซาทามิเวียร์กับหลวงพ่อคูณเหมือนเดิม เนื่องจากแพทย์ยังคาดว่าหลวงพ่อคูณอาจติดเชื้อหวัด2009 ซึ่งหลังจากให้ยาแล้วหลวงพ่อคูณมีอาการตอบสนองดี แต่ยังมีอาการไอและมีเสมหะเล็กน้อย

เวลา 08.00 น. นายสมศักดิ์ ปริสุทโธเหมธานนท์ รองผวจ.นครราชสีมา พร้อมนางสาววันนา พิจารณาธรรม คณะกรรมการวัดบ้านไร่ฝ่ายอาหารและลูกศิษย์ใกล้ชิดได้นำภัตตาหารเช้ามาถวาย แด่หลวงพ่อคูณฯ ประกอบด้วย ข้าวสวย ปลาดุกย่าง หมูทอด ผัดถั่วงอก ผัดบวบใส่กุ้ง แกงจืดวุ่นเส้นผักกาดขาว น้ำพริกปลาฉลาด ผักต้ม ขนมครก กล้วยน้ำหว้า และมะละกอ ซึ่งหลวงพ่อฉันได้มากและพูดคุยกับลูกศิษย์ตลอดเวลา

นายแพทย์พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณกล่าวภายหลังตรวจอาการหลวงพ่อคูณว่า ผลตรวจเชื้อไข้หวัด2009อย่างเป็นทางการจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จะทราบผลอย่างเป็นทางการภายใน 48 ชั่วโมง คณะแพทย์คาดว่าหลวงพ่อคูณอาจติดเชื้อหวัด2009 เนื่องจากหลวงพ่อคูณมีอาการหลายอย่างคล้ายกับผู้ป่วยหวัด2009 ซึ่งหลังจากแพทย์ได้ให้ยาโอเซลทามิเวียร์ และยาซาทามิเวียร์แล้วหลวงพ่อคูณมีอาการตอบสนองดีมาก และแพทย์จะยังคงให้ยาทั้ง2ชนิดต่อไปจนครบครอส 5 วัน

โดยจนถึงวันนี้แพทย์ให้ยาโอเซลทามีเวียร์ไปแล้ว 4 เม็ด เหลืออีก 6 เม็ด ส่วนยาซาทามิเวียร์จะพ่นเช้าและเย็นทุกวัน สำหรับอาการทั่วไปของหลวงพ่อคูณดีขึ้นตามลำดับ สดชื่นแจ่มใส ฉันอาหารได้มากกว่าเดิม ส่วนความจำหลวงพ่อคูณกลับคืนมาเป็นปกติและสามารถจดจำลูกศิษย์ได้ทุกคนแล้ว ทั้งนี้แพทย์จะยังคงให้หลวงพ่อคูณนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกอย่างน้อย 3-4 วัน และสั่งห้ามเยี่ยมเด็ดขาดเพื่อให้หลวงพ่อคูณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

ด้านหลวงพ่อคูณฯ กล่าวว่า เอออาการป่วยก็เป็นเรื่องธรรมดาวันนี้อาการกูดีขึ้นมากแล้วไม่เป็นอะไรด๊อก ส่วนที่หมอบอกว่ากูอาจจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น กูก็ไม่รู้สึกอะไรด๊อกถ้าจะเป็นจริงๆก็ต้องเป็นกูไม่สามารถจะป้องกันอะไรได้ ซึ่งทุกๆคนมีโอกาสเป็นเหมือนกันหมด แต่กูก็ป่วยไม่มากด๊อก เป็นเล็กๆน้อยๆ เป็นแค่ธรรมดาไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรพออยู่ได้ วันนี้กูก็ฉันยาฉันข้าวได้มาก และอยากกลับวัดบ้านไร่แล้วหลานเอ๊ย หลวงพ่อคูณฯกล่าว

ที่มา: http://www.komchadluek.net/detail/20090815/24401/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%93%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%9409%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88.html

ญี่ปุ่นพบผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 รายแรกแล้ว

เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นของญี่ปุ่นรายงานวันนี้(15) ว่า พบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยเป็นชายวัย 57 ปี อาศัยอยู่ที่จังหวัดโอกินาวา ทางภาคใต้ของประเทศ

นักท่องเยวที่พระราชวังอิมพิเรียลในกรุงโตเกียว

เจ้าหน้าที่เผยว่า ชายผู้นี้ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ และก่อนการเสียชีวิตเขามีอาการป่วยเรื้อรังมาแล้ว จากนั้นจึงเสียชีวิตจากไวรัสเอ เอช 1 เอ็น 1 หลังจากเกิดอาการแทรกซ้อน

จิจิเพรสรายงานว่า ชายคนนี้อายุ 57 ปี เคยมีอาการป่วยโรคไตเรื้อรัง รวมทั้งเคยมีอาการไตล้มเหลวและหัวใจหยุดเต้นมาแล้ว

ญี่ปุ่นยืนยันเมื่อเดือนที่แล้วว่า พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ประมาณ 5,000 คน ท่ามกลางความหวั่นเกรงว่าการแพร่ระบาดจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองโอซากาและโกเบ ขณะที่ชายคนนี้เป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่เสียชีวิต

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000092872

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รู้จักเชื้อร้าย-สารพัดเทคนิควิธีสู้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในงานมหกรรมวิทย์

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำเอาหลายคนหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะเกรงว่าร่างกายเราจะสู้กับมันไม่ได้ แต่หากเราทำความรู้จักกับเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเอาชนะมันได้มากขึ้น ไบโอเทคจึงรับหน้าที่สกัดดีเอ็นเอของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ แล้วนำมาให้ดูกันจะจะในงานมหกรรมวิทย์

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) นำนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มาจัดแสดงให้ชมกันภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2552 โดยอยู่ในบริเวณโซนของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร

เริ่มต้นจากทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งมันคือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ เอช1เอ็น1 (Influenza A H1N1) สายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เหมือนกับ H1N1 ที่เคยปรากฏแล้วก่อนหน้านี้ เพราะเจ้าเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีบรรพบุรุษหลายสายพันธุ์ โดยสาร พันธุกรรมของมันที่ประกอบด้วยอาร์เอ็นเอ 8 เส้น ที่มาจากเชื้อไวรัสในหมู ในนก และในคน ทำให้มันมีหน้าตาไม่เหมือนกับเชื้อไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในคน จึงเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะต้องหาวิธีปราบเชื้อร้ายตัวใหม่นี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ด้วยยา ก็ต้องเอาให้อยู่หมัดด้วยวัคซีน

แม้ว่ายาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังใช้ได้ดีกับ เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้อยู่ก็ตาม แต่เชื้อก็มีโอกาสกลายพันธุ์จนดื้อยาได้ นักวิทยาศาสตร์จึงทำงานกันอย่างหนักเพื่อพัฒนาวัคซีนที่สามารถสยบเชื้อไวรัส ชนิดนี้ให้ได้ ซึ่งหลักการของวัคซีนก็คือไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายมีโอกาสทำความรู้จักกับเชื้อโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อนในปริมาณน้อยๆ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าจะรับมืออย่างไรหากได้เจอเชื้อโรคนี้อีก

เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นรูปแบบที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือการใช้ไข่ไก่ฟัก โดยฉีดเชื้อไวรัสที่ต้องการใช้ผลิตวัคซีน และเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่จำเป็นสำหรับการร่วมผลิตวัคซีน เข้าไปในไข่ไก่ฟักฟองเดียวกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างกัน จากนั้นคัดเลือกไวรัสตัวที่เหมาะสมไปผลิตเป็นวัคซีนต่อไป

ส่วนเทคนิคการผลิตวัคซีนแบบใหม่ที่เริ่มนำมาใช้กันบ้างแล้วนั้นเรียกว่า รีเวิร์ส เจเนติกส์ (Revers Genetics) โดยสกัดแยกยีนของไวรัสที่สร้างโปรตีนส่วนผิวของไวรัส คือ H และ N แล้วนำมาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้เหมาะสม และสกัดแยกยีนอื่นๆ จากไวรัสสายพันธุ์ที่จำเป็นสำหรับการร่วมผลิตวัคซีน นำยีนจากไวรัสทั้งสองสายพันธุ์มาผสมกันสร้างเป็นไวรัสสายพันธุ์ลูกผสม และคัดเลือกไวรัสที่เหมาะสมไปผลิตวัคซีน ซึ่งข้อดีของวิธีใหม่นี้คือสามารถสร้างไวรัสที่เหมาะสำหรับเป็นวัคซีนได้รวด เร็วกว่าโดยไม่ต้องใช้ไข่ไก่ฟัก

จะรู้ได้ไงว่าเราเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า

หากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีไข้ ตัวร้อน มีอาการไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ง่วงซึม ปวดกล้ามเนื้อและตามข้อ หรือมีอาการของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ และรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สำหรับบางคนที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เข้าไปแล้วแต่ยัง ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แล้วยังไม่ไปพบแพทย์ ก็อาจมีส่วนช่วยแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับตรวจวัดอุณหภูมิระยะไกล "เทอมสกรีน 2.0" (ThermScreen 2.0) ใช้ร่วมกับกล้องตรวจวัดรังสีความร้อน ที่ช่วยให้ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย ตรวจวัดได้ครั้งละหลายคน รู้ผลภายใน 0.03 วินาที และเทคโนโลยีนี้ก็นำมาใช้คัดกรองผู้ที่จะเข้าชมงานมหกรรมวิทย์ปีนี้ด้วย

จะรู้ได้ไงว่าผู้ป่วยคนไหนเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

แพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยที่สังสัยว่าอาจเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยนำสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไปสกัดแยกเอาสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งคืออาร์เอ็นเอ จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ แล้วนำไปเพิ่มจำนวนดีเอ็นเอด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลิเมอเรส หรือ พีซีอาร์ (PCR) เมื่อได้ดีเอ็นเอไวรัสจำนวนมากพอ ก็นำไปแยกด้วยไฟฟ้าบนแผ่นวุ้น หรือ เจล อิเล็กโตรโฟเรซิส (Gel electrophoresis) เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดต่างๆ ก็จะรู้ว่าผู้ป่วยรายนี้ได้รับเชื้ออะไร ซึ่งวิธีนี้เป็นวิถีมาตรฐานที่ใช้ในห้องแล็บตรวจเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่โดยทั่ว ไป และไบโอเทคก็นำเอาดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดต่างๆ มาให้ดูกันในงานมหกรรมวิทย์ด้วย

"สมุนไพร 5 ราก" รักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ตามแบบแพทย์แผนไทย

เมื่อยาฝรั่งใช้ไม่ได้ผลหรือมีราคาแพงเกินไป ยาสมุนไพรจึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็เช่นเดียวกัน ที่มีสูตรตำหรับยาสมุนไพรรักษาโรคนี้ได้อยู่ แม้จะยาปัจจุบันยังใช้ได้ผลอยู่ก็ตาม แต่การรักษาโรคตามแบบแพทย์แผนไทยด้วยยาสมุนไพร ก็ยังแสดงถึงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยและช่วยประหยัดเงินตราเพื่อนำเข้ายาจาก ต่างประเทศได้

ในงานมหกรรมวิทย์ปีนี้ คณะการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต จึงภูมิใจเสนอวิธีรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ตามคัมภีร์ตักศิลา ที่บันทึกไว้ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้น ตอนแรกให้ยากระทุ้งพิษไข้ เพื่อขับพิษไข้ออกจากร่างกาย จากนั้นให้ยาแปรไข้ เพื่อดับพิษไข้ แปรไข้จากร้ายเป็นดี และขั้นสุดท้ายให้ยาครอบไข้ เพื่อครอบไข้มิให้กลับมาเป็นอีก และบำรุงร่างกายไปพร้อมกัน

พระเอกของการรักษาด้วยวิธีนี้คือ ตำรับ "ยา 5 ราก" หรือ "เบญจโลกวิเชียร" ที่ใช้ในการกระทุ้งพิษไข้ ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ ชิงชี่ คนทา ย่านาง ท้าวยายม่อม และมะเดื่อชุมพร

นอกจากนี้ยังมีการเปิดอบรมการทำเจลล้างมือป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย ทั้งในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์บริการ และห้องแล็บขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

หากใครสนใจเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ การทำเจลล้างมือ เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยสู้หวัดสายพันธุ์ใหม่ สามารถไปเยี่ยมชมและหาความรู้กันได้ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2552 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ระหว่างวันที่ 8-23 ส.ค. 2552 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 2-8 ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น. สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) โทร. 0-2577-9999 ต่อ 1833 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nsm.or.th และ Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์ โทร. 1313

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091931

แพทย์ระบุ "หลวงพ่อคูณ" สงสัยอาพาธไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่กลุ่มเสี่ยงน่าห่วง-อาการหนักกว่าทุกครั้ง

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แพทย์ระบุ “หลวงพ่อคูณ” อาพาธต้องสงสัยไข้หวัด 2009 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงน่าห่วงเหตุอายุมาก- มีโรคประจำตัวหลายอย่าง รอผลตรวจเลือดยืนยันใน 1-2 วันนี้ เผยให้ยาทามิฟลู และยาพ่นต้านไว้รัส ชี้อาการโดยรวมเริ่มดีขึ้นแต่ยังสับสนอยู่ สั่งลูกศิษย์สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้าใกล้เพื่อป้องกันติดเชื้อ แพทย์ระบุอาพาธครั้งนี้อาการหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกีรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา หลังลูกศิษย์นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลด้ายอาการเบลอ สับสน จำใครไม่ได้ เมื่อบ่ายวานนี้ (13 ส.ค.)

ล่าสุด วันนี้ (14 ส.ค.) อาการหลวงพ่อคูณเริ่มดีขึ้น แต่ยังคงสับสน แพทย์ให้น้ำเกลือเป็นกระปุกที่ 2 และให้ฉันยาปฏิชีวนะ โดยหลวงพ่อคูณตื่นจากจำวัดเมื่อเวลา 07.00 น. พยาบาลเข้าตรวจอาการไข้และวัดความดัน ก่อนให้หลวงพ่อทำกิจธุระส่วนตัว โดยหลวงพ่อคูณ ย้ำถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดตลอดเวลาว่า “กูอยู่ที่ไหน”

ต่อมาเวลา 07.30 น. นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด แพทย์ประจำตัว พร้อมด้วย นพ.สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท และ นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้เข้าตรวจอาการของหลวงพ่อคูณอีกครั้ง ซึ่งหลวงพ่อคูณพยายามบอกคณะแพทย์ตลอดว่า “กูไม่เป็นอะไร จะตรวจทำไม”

นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้หลวงพ่อคูณถูกนำส่งมาโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาด้วยอาการสับสน จำใครไม่ได้ จึงนำหลวงพ่อมาตรวจระบบประสาท โดยแพทย์ได้ประเมินคาดว่าสาเหตุที่มีอาการดังกล่าวน่าจะมาจาก 2 ปัจจัย คือ เป็นเรื่องความสับสนที่พบได้ในผู้สูงอายุ และเป็นอาการเกิดจากการชัก จากนั้นได้นิมนต์หลวงพ่อจำวัดที่โรงพยาบาลเพื่อแพทย์จะได้เฝ้าดูอาการ

ปรากฏว่าประมาณ 19.00 น.เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) หลวงพ่อคูณมีไข้สูง หนาวสั่น จากการประเมินอาการไข้ น่าจะมาจาก 2 อย่าง คือ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด หรือ อาจจะเป็นการติดเชื้อไวรัส ซึ่งหากเป็นเชื้อไวรัส ก็คิดว่าน่าจะเป็นอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากอาการอาพาธครั้งนี้ของหลวงพ่อคูณรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น และขณะนี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาได้กำชับให้ลูกศิษย์ใส่หน้ากากอนามัยพร้อมให้ระวังเมื่อเข้าใกล้ หลวงพ่อ แต่ปัจจัยหนึ่งที่ไม่สามารถจะควบคุมได้คือ ลูกศิษย์ที่เดินทางมากราบนมัสการเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้หลวงพ่อคูณติดเชื้อได้

อีกทั้งก่อนหน้านี้หลวงพ่อคูณได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แพทย์มั่นใจว่าหลวงพ่อคูณป่วยเป็นไข้หวัด ใหญ่ 2009

นพ.พินิศจัย กล่าวอีกว่า การรักษาของแพทย์ตั้งแต่เมื่อวานนี้ได้เริ่มให้การรักษาแบบผู้ป่วยไข้หวัด 2009 ด้วยการให้ยาโอเซลทามีเวียร์ และยาพ่นต้านไวรัส ซึ่งหลวงพ่ออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัวหลายอย่าง

ด้าน นพ.สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท เปิดเผยถึงอาการทางสมองของหลวงพ่อคูณว่า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) หลวงพ่อมีอาการสับสนมาก กระสับกระส่าย ยังหาสาเหตุของการเกิดการสับสนไม่ได้ เพราะผลการเอกซเรย์สมองโดยรวมปกติดี จนกระทั่งหลวงพ่อคูณมีไข้ จึงคิดว่าอาการสับสนดังกล่าวน่าจะมาจากอาการไข้ และเมื่อไข้ลดลงอาการเบลอ สับสนก็ดีขึ้น แต่ยังมีอาการหลงลืมบ้าง คือจำสถานที่ไม่ได้และยังคงย้ำถามลูกศิษย์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งดีกว่าเมื่อวานที่ไม่ได้สนใจตรงนี้เลย ส่วนลูกศิษย์ก็เริ่มจำหน้าได้แต่ยังจำชื่อไม่ได้

ขณะที่ นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤติ เปิดเผยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจเบื้องต้น คิดว่าน่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ค่อนข้างสูงตอนนี้รอผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการที่กรุงเทพฯ คาดว่าจะรู้ผลภายใน 1-2 วันนี้ อาการเบื้องต้นหลวงพ่อคูณมีอาการไข้สูง หอบเหนื่อย และไอ

ล่าสุด ตรวจร่างกายเมื่อเช้านี้พบมีเสลดอยู่ในเสมหะในปอดค่อนข้างมาก แพทย์ได้ให้การรักษาโดยให้ยาทามิฟลู หลังให้ยาแล้วคนไข้ให้การตอบสนองค่อนข้างดี ไข้ลดลง อาการทั่วไปดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้ลูกศิษย์สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้าไปปรนนิบัติหลวงพ่อคูณ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม

ที่มา: http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000092324

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงพ่อคูณอาพาธมีอาการคล้ายติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แพทย์ให้ยาทามิฟูลต้านไวรัสแล้ว

คมชัดลึก :หลวงพ่อคูณส่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แพทย์ให้ยาทามิฟูลหลังมีไข้สูงกลางดึก ขณะที่อาการทั่วไปยังน่าห่วง

(14ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า อาการอาพาธของพระเทพวิทยาคมหรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 ตึกเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หลังจากลูกศิษย์ใกล้ชิดได้นำหลวงพ่อคูณฯส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเร่ง ด่วนตั้งแต่วานนี้ (13ส.ค.) เนื่องจากมีอาการเบลอ หลงๆลืมๆ และจำใบหน้าลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่ได้

ซึ่งแพทย์คาดว่าหลวงพ่อคูณน่าจะมีอาการสับสนเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ แพทย์ได้ให้หลวงพ่อคูณนอนพักรักษาตัวที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 ห้อง 9821 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีกำหนดออกจากโรงพยาบาล

ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (13ส.ค.)หลวงพ่อคูณมีอาการไข้สูง ซึม ไอ มีเสมหะและหนาวสั่น แพทย์ได้ให้น้ำเกลือ ยาขยายหลอดลม และให้ยาทามิฟูลต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กับหลวงพ่อคูณเนื่องจากเกรงว่าหลวงพ่อคูณอาจติดเชื้อหวัดใหญ่ 2009 โดยหลังจากแพทย์ให้ยาทามิฟูลแล้วช่วงเช้าวันนี้ (14ส.ค.)หลวงพ่อคูณมีอาการดีขึ้นบ้างเล็กน้อย ไข้ลดลง ส่วนผลการตรวจจากห้องปฏิ บัติการจะทราบผลอีก 2 วันว่าหลวงพ่อคูณติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ โดยเช้าวันนี้(14ส.ค.)หลวงพ่อคูณมีสีหน้าอิดโรยอ่อนเพลียและมีอาการไอ เสมหะมาก แพทย์ได้ใช้ยาพ่นขยายหลอดลมเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น

นายแพทย์สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท รพ.มหาราชนครราชสีมา กล่าวว่า อาการหลงลืมและสับสนของหลวงพ่อคูณ ยังมีอยู่ แต่เริ่มจดจำใบหน้าลูกศิษย์ใกล้ชิดบางคนได้บ้างแล้ว ซึ่งถือเป็นอาการปกติของผู้สูงอายุวัยนี้และหลวงพ่อคูณเคยเข้ารับการผ่าตัด สมองครั้งใหญ่มาแล้ว ทั้งนี้แพทย์ได้ให้ยาบำรุงสมองเพื่อให้หลวงพ่อคูณฟื้นความทรงจำกลับมาเหมือน เดิมและให้น้ำเกลือไปแล้ว 2 ขวด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น

นายแพทย์อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กล่าวว่า เมื่อคืนที่ (13ส.ค.) ผ่านมาเวลาประมาณ 23.10 น. หลวงพ่อคูณมีอาการไข้สูง คณะแพทย์ตัดสินใจให้ยาทามิฟูลซึ่งเป็นยาต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากเกรงว่าหลวงพ่อคูณอาจติดเชื้อดังกล่าว โดยการให้ยาทามิฟูลนั้นร่างกายหลวงพ่อคูณตอบสนองยาดี ไข้เริ่มลดลงเกือบเป็นปกติ แต่ยังคงมีเสมหะ และไอมาก ซึ่งแพทย์ได้ให้ยาขยายหลอดลมช่วยให้หายใจได้สะดวก ส่วนยาทามิฟูลที่ให้หลวงพ่อคูณนั้นร่างกายท่านตอบสนองดีไม่มีผลข้างเคียงใน การรักษาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการนั้นจะทราบผลภายใน 1-2 วันว่าหลวงพ่อคูณติดเชื้อหวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ อย่างไรก็ตามคณะแพทย์ยังต้องดูแลอาการของหลวงพ่ออย่างใกล้ชิดเพราะถือว่า ท่านอาพาธหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาจึงงดเยี่ยมอย่างเด็ดขาดและขอฝากให้ลูก ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อที่ต้องดูแลตลอด 24 ชม.ต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นายแพทย์อนุชิตฯกล่าว
ทางด้านนพ.พินิจจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด รพ.มหาราช นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ ว่า อาการทั่วไปดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนอาการอย่างอื่นยังบอกไม่ได้ แต่ยังมีอาการไข้หนาวสั่นรุนแรงกว่าทุกครั้ง เบื้องต้นคาดว่าอาจเป็นหวัดใหญ่ 2009 เพราะมีอาการที่บ่งบอกค่อนข้างชัดเจน จึงให้ยาโอเซลทามิเวียร์เพื่อต้านเชื้อไว้รัสแล้ว

นพ.พินิจจัย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าหลวงพ่อคูณมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหวัดสายพันธุ์ ใหม่อย่างมาก เนื่องจากคลุกคลีกับญาติโยมจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน เบื้องต้นที่ระบุว่ามีอาการทางสมองนั้น ในทางการแพทย์อาการเช่นนี้ก็เกี่ยวพันกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ได้เช่นกัน ซึ่งจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ดังนั้น จะต้องให้ยาต้านไวรัสอย่างน้อย 5 วันเพื่อดูอาการ

ที่มา: http://www.komchadluek.net/detail/20090814/24292/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%9409%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B8%A5.html

กทม.สรุปยอดไข้หวัดใหญ่ 2009 คนกรุงเสียชีวิตแล้ว 22 ราย ป่วยสะสมเฉียด 600 ราย

กทม.สรุปยอดหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 คร่าคนกรุงไปแล้วรวม 22 ราย มีป่วยสะสม 590 ราย เผยเตรียมทำโครงการมิสเตอร์สุขภาพในสถานประกอบการสร้างความเข้าใจป้องกันหวัด-ไข้เลือดออก

พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามผลการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ 2009 ในพื้นที่ กทม.ว่า จากสถิติผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในพื้นที่ กทม. ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. - 12 ส.ค. พบว่ามียอดผู้ป่วยสะสม 3,881 ราย รวมยอดในรอบสัปดาห์มีผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้น 233 ราย มียอดผู้ที่เสียชีวิต 22 ราย ซึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวน 3 ราย ซึ่งเป็นหญิง1 ราย และเป็นชาย 2 ราย ทั้งนี้ยังมีผู้ป่วยรักษาอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกทม. 590 ราย ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวน 16 ราย

พญ.มาลินี กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงสถานการณ์ไข้เลือดออกในพื้นที่ กทม. ซึ่งมีแนวโน้มที่คน กทม.จะป่วยเป็นจำนวนมากในช่วงของฤดูฝนที่จะมาถึง ซึ่งจากสถิติตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2552 พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 2,616 คน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 คน เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ป่วยช่วงปี 2551 พบว่ามียอดผู้ป่วยลดลง คือมีผู้ป่วย 12,443 คน มีผู้เสียชีวิต 15 คน

ซึ่ง กทม.ได้หามาตรการป้องกันเชิงรุก โดยประสานกับสถานประกอบการในพื้นที่ กทม. ให้ส่งตัวแทนมาอบรมกับ กทม.ในการทำหน้าที่เป็นมิสเตอร์สุขภาพ และนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้กับเพื่อนร่วมงาน นอกจากนั้นแล้วในวันที่ 22 ก.ย.นี้ กทม.จะร่วมรณรงค์กำจัดหมัดหนู หนู และแมลงสาบที่ตลาดสด กทม. และตลาดสดของเอกชนด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของเชื้อกาฬโรคจากหมัดหนู

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000092081