ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นพ.ไพจิตร์ วราชิต แถลงพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่2009 รายใหม่แล้ว102 คน

สธ.เผยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่พบผู้เสียชีวิตหวัด 2009 แต่ป่วยเพิ่มอีก 102 คน สั่งทุกจังหวัดเฝ้าระวังไข้หวัดนก หลังมีสัญญาณผู้เสียชีวิตในเวียดนาม 1 ราย หวั่นผสมกับหวัด 2009 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคไข้หวัดนก ทั้งในสัตว์และคน ให้ส่งตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการทุกราย พร้อมจับตา 5 จังหวัดระบาดมากสุด กทม.เชียงใหม่ จันทบุรี สุโขทัย โคราช

วันนี้ (2 ธ.ค.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 23-29 พฤศจิกายน 2552 ทั่วประเทศไม่มีผู้เสียชีวิต โดยยอดสะสมผู้เสียชีวิตตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 ยังเท่าเดิม คือ 187 ราย แต่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มอีก 102 คน คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 46.33 ต่อแสนประชากร เพิ่มขึ้นจาก 2 สัปดาห์ที่แล้วเล็กน้อย ที่มีอัตราป่วยร้อยละ 46.01 ต่อแสนแระชากร ข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก 27 พฤศจิกายน 2552 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 7,826 ราย อยู่ในแถบภาคพื้นอเมริกา 5,360 ราย ยุโรปไม่น้อยกว่า 650 ราย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 738 ราย แปซิฟิกใต้ 644 ราย เมดิเตอเรเนียนตะวันออก 330 ราย และแอฟริกา 104 ราย

“สถานการณ์การระบาดยังไม่รุนแรง โดยจากการสุ่มตรวจเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่พัก รักษาที่โรงพยาบาล ผลตรวจเชื้อพบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพียงร้อยละ 6 เท่านั้น ขณะที่ช่วยที่มีการระบาดเมื่อกลางปีที่ผ่านมี พบผู้ป่วยมากถึงร้อยละ 60-70 และยังไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ในภาพรวมการระบาดของโรคยังมีประปรายอยู่อำเภอและชุมชน พบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวมเพิ่มขึ้น เช่น สุโขทัย จันทบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา และกรุงเทพฯ” นพ.ไพจิตร์ กล่าว

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สำหรับโรคไข้หวัดนกชนิด เอช5เอ็น1 ซึ่งขณะนี้มีข่าวผู้เสียชีวิตที่จังหวัดเดียนเบียน ประเทศเวียดนาม 1 ราย เป็นชายวัย 23 ปี ติดเชื้อจากการกินเลือดเป็ดดิบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องระมัดระวัง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ให้เชื้อไข้หวัดนก ผสมพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนกลายไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์การระบาดรุนแรงขึ้น จึงให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้ป่วยปอดบวมอย่างต่อเนื่อง และซักประวัติการสัมผัสสัตว์ทุกรายโดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรค ไข้หวัดนกทั้งสัตว์ปีกและคน ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ได้สั่งการให้ผู้ตรวจราชการที่ดูแลพื้นที่ลงควบคุมกำกับอย่างเคร่งครัด ในกรณีพบผู้ป่วยปอดบวมให้ส่งตรวจหาเชื้อไข้หวัดนกทางห้องปฏิบัติการทุกราย

ด้านนพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ไข้หวัดนกของไทย ไม่มีรายงานผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดนกติดต่อกันมากว่า 3 ปี แต่ประมาทไม่ได้ กรมควบคุมโรคได้ประสานการทำงานร่วมกับกรมปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด ทั้งส่วนกลางและในระดับพื้นที่

โดยเฉพาะ ในพื้นที่ที่มีสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติ ให้ใช้มาตรการควบคุมป้องกันขั้นสูงสุด เพื่อกันคนติดเชื้อ ในระดับนโยบายจะมีการประชุมร่วมกันในเร็วๆ นี้ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานในรอบใหม่ เสนอต่อคณะกรรมการไข้หวัดนกระดับชาติ ที่มีพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ทั้งนี้ หากประชาชนพบสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติในช่วงนี้เป็นต้นไป ขอให้รีบแจ้ง อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปศุสัตว์ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าติดเชื้อไข้หวัดนกหรือ ไม่ และไม่จับซากสัตว์ด้วยมือเปล่า รวมทั้งไม่กินสัตว์ปีกที่กำลังป่วย หรือที่ตายแล้ว เพราะจะทำให้เสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดนกได้ โรคนี้มีอัตราป่วยตายสูงถึงร้อยละ 60

ที่มาข่าว http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000146784

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระลอก 2 เริ่มระบาดในจีน พบยอดผู้เสียชีวิต 178 คนแล้วในรอบ 2 สัปดาห์

กระทรวงสาธารณสุขจีน เผยว่าจีนมีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มกว่า 3 เท่าในรอบสองสัปดาห์เมื่อฤดูหนาวเริ่มพัดผ่านเข้ามา

สำนักข่าวเอพี รายงานเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่ากระทรวงสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาชนจีน เผยว่าจีนมีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มกว่า 3 เท่าในรอบสองสัปดาห์เมื่อฤดูหนาวเริ่มพัดผ่านเข้ามา โดยข้อมูลเมื่อวันอาทิตย์ 29พ.ย. จีน มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะ 178 คน สูงกว่าตัวเลขเมื่อ 15พ.ย.ที่มี 53 คน ถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะ 3 ใน 4 ราย ปัจจุบัน เกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนต้านไวรัสมรณะที่ทางการจีน กำลังดำเนินการฉีดให้ผู้คนทั่วประเทศ แต่ไม่พบว่าการเสียชีวิตของทั้ง3คน เกี่ยวข้องกับวัคซีนแต่อย่างใด ส่วนรายที่ 4 อยู่ระหว่างตรวจสอบ

ทั้งนี้ ในกลุ่ม 26 ล้านคนทั่วประเทศที่ได้รับวัคซีนในจีน มีรายงานผู้มีอาการข้างเคียงจากการวัคซีน 2,867 คน ส่วนใหญ่มีอาการไข้และปวดบวม ส่วนผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะทั่วประเทศนับแต่เริ่มการระบาดในเดือนเม.ย.ที่ผ่าน มา ปัจจุบันมีแล้วกว่า90,000 คนในจำนวนนี้เกือบ 80 เปอร์เซนต์ อาการหายดีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขในสหรัฐอเมริกา ยังถือว่าน้อยกว่ามาก เพราะนับแต่เดือนเม.ย.เช่นกัน มีชาวอเมริกันติดเชื้อประมาณ 22 ล้านคน เข้าโรงพยาบาล 98,000 คน ส่วนผู้เสียชีวิตมีถึง 4,000 คน

ที่มาข่าว http://www.thairath.co.th/content/oversea/50664

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

องค์การอนามัยโลกยืนยันวัคซีนต้านไข้หวัด 2009 ไข้หวัดมรณะปลอดภัย

ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลก นางมารี-พอล เคียนีแถลงข่าวยืนยันถึงความปลอดภัยของวัคซีนต้านไวรัสไข้หวัด2009

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน เมื่อ 19 พ.ย. ว่า นางมารี-พอล เคียนี ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลก(WHO) แถลงผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์จากนครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ ว่าจากการที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งเสียชีวิตลงหลังจากได้รับวัคซีนต้าน ไวรัสไข้หวัด2009นั้น แต่ผลการตรวจสอบที่ออกมาพบว่าการเสียชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนต้านไวรัส มรณะแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน นางมารี เผยต่อไปว่า ณ ขณะนี้ วัคซีนต้านไวรัสมรณะ ยังถือว่าปลอดภัยเช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

ที่มาข่าว http://www.thairath.co.th/content/oversea/47938

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สธ.เปิดใช้ ยุทธการ "4×4×4×4" รับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่ เน้นปรับ 4 พฤติกรรม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงสื่อมวลชนทั่วประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ รับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยใช้ยุทธการ 4×4×4×4 ให้แจ้งเตือนประชาชนปรับ 4 พฤติกรรม ได้แก่ ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด

วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2552) ที่กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะ ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เร้นซ์ ชี้แจงนโยบายการเฝ้าระวังป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่ แก่สื่อมวลชนสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ และสื่อมวลชนส่วนภูมิภาค ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ระลอกใหม่ในช่วงฤดูหนาวและต่อเนื่องไปหลังเทศกาลปีใหม่ โดยได้กำหนดยุทธการ 4×4×4×4 เพื่อให้ระบบการป้องกันควบคุมโรคมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากที่สุด

นายวิทยา กล่าวว่า ยุทธการ 4×4×4×4 ประกอบด้วย ยุทธการแรก ได้แก่ การให้ทุกจังหวัดดำเนินงานเข้มข้นเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่พฤศจิกายน 2552 ไปจนถึงกุมภาพันธ์ 2553 ยุทธการที่ 2 คือ การสร้างความปลอดภัยจากโรคให้ 4กลุ่มคน ได้แก่ กลุ่มวัยเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา โดยเน้นชั้นอนุบาลและประถมศึกษา กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มที่เป็นวัยอยู่บ้านคือเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมทั้งกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง เช่นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ยุทธการที่ 3 ได้แก่ การใช้ 4 มาตรการในการบริหารจัดการ ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้สถานการณ์โรคและความเสี่ยงของตนเอง เร่งบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันควบคุมโรค สนับสนุนการดำเนินงานของทุกภาคส่วนเพื่อลดการป่วย และการป้องกันในกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็ว ได้ยาเร็ว เพื่อลดการเสียชีวิต รวมทั้งลดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่

ยุทธการสุดท้าย ได้แก่ การเสริม 4 พฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชน ได้แก่ 1. เมื่อป่วยให้ใส่หน้ากากอนามัย หากไม่มีเวลาไอจามใส่กระดาษทิชชู หรือไอใส่แขนเสื้อตัวเอง 2.ล้างมือบ่อยๆ ทุกครั้งหลังไอจาม และก่อนกินอาหาร 3.หลีกเลี่ยงไปในสถานที่แออัด การอยู่ใกล้ชิดกับคนป่วยหรือมีอาการไอจาม และ 4.หยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรม เมื่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อให้หายป่วยเร็วและไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดยดำเนินการควบคู่กับมาตรการเดิม คือ 2 ลด ลดป่วย ลดตาย และ 3 เร่ง คือ เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในการป้องกันตนเอง เร่งให้อาสาสมัครสาธารณสุข อสม.ค้นหา เฝ้าระวังในพื้นที่อย่างเข้มข้น และเร่งบูรณาการการบริหารจัดการให้ครอบคลุมทุกคนในพื้นที่

สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก ขณะนี้ ประเทศในซีกโลกภาคเหนือ กำลังประสบกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่ ส่วนในประเทศไทย การระบาดในกรุงเทพมหานครลดลงมากตั้งแต่ เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และขยายไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้ เริ่มมีสัญญาณเตือนการระบาดในระลอกใหม่ เช่น เกิดการระบาดในโรงเรียนในต่างจังหวัด ประกอบกับอากาศเย็นลงและมีงานเทศกาลที่มีคนรวมตัวกันมาก อีกทั้งอาจมีการแพร่ระบาดจากซีกโลกภาคเหนือ คาดว่าในช่วงหน้าหนาวนี้ น่าจะมีการระบาดของโรคในประเทศไทย จึงขอให้สื่อมวลชน แจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมรับมือกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่นี้

**************************************** 19 พฤศจิกายน 2552

แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ

ที่มา http://www.moph.go.th/ops/iprg/iprg_new/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=29234

สธ.จับมือศธ.ให้นิสิตแพทย์รวม 16 สถาบัน เป็นแกนนำรณรงค์ป้องกันการระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่

สาธารณสุขลงนามความร่วมมือกับศึกษาธิการ ให้นิสิตจากคณะแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ใน16 สถาบันทั่วประเทศ ร่วมเป็นแกนนำรณรงค์ให้ความรู้โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แก่เพื่อนนิสิต ชุมชนใกล้เคียงและประชาชนทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันควบคุมโรค ชี้สถิติที่ผ่านมาโรคนี้ ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มอายุ 11-40 ปี

วันนี้(19 พฤศจิกายน 2552) ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กทม. นายแพทย์สถาพร วงษ์เจริญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ลงนามความร่วมมือ “โครงการนักศึกษาแพทย์ร่วมแรง ร่วมใจ ต้านไข้หวัดใหญ่ 2009” เพื่อให้นิสิตจากคณะแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของสถาบันอุดมศึกษา 16 แห่งในสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ร่วมเป็นแกนนำรณรงค์ให้ความรู้โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แก่เพื่อนนิสิต ชุมชนใกล้เคียงรอบมหาวิทยาลัย และประชาชนทั่วไป
นายแพทย์สถาพร กล่าวว่าขณะนี้ไข้หวัดใหญ่ 2009 กำลังขยายไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง ซึ่งเหมาะกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งเชื้อไวรัสอาจมีการเปลี่ยนแปลงและมีความรุนแรงมากขึ้น จึงต้องมีการประเมินและปรับแผนการป้องกันควบคุมโรคเป็นระยะๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ทั้งนี้ จากสถิติผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ของไทย ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มอายุ 11-40 ปี ซึ่งทั่วประเทศมีประมาณ 30 ล้านคน จึงถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่มีโอกาสป่วยและมีอาการรุนแรงได้แม้ไม่มีโรค ประจำตัว และผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ร้อยละ 70 มีโรคหรือภาวะเสี่ยงสูงจากโรคประจำตัว และอีกร้อยละ 30 เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง จึงต้องไม่ประมาท จำเป็นต้องเร่งรณรงค์สร้างความเข้าใจการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ เป็นความต่อเนื่องในการร่วมรณรงค์ กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนองค์ความรู้ ข้อมูลวิชาการในการรณรงค์ และการประชาสัมพันธ์แก่สถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนคณะแพทยศาสตร์หรือวิทยา ศาสตร์สุขภาพ 16 แห่ง ทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน โดยสำนักการงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือสสส. สนับสนุนงบประมาณดำเนินการแห่งละ 50,000 บาท เชื่อมั่นว่าโครงการนี้ จะทำให้นิสิตแพทย์ และนิสิตในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพทั้งหมด เป็นบุคลากรสำคัญที่จะมีส่วนช่วยชี้นำและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับ สังคมไทย ในการป้องกันตนเองและป้องกันคนอื่นจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ของประเทศไทยอย่างได้ผล นายแพทย์สถาพร กล่าว

************************************* 19 พฤศจิกายน 2552

แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ

ที่มา http://www.moph.go.th/ops/iprg/iprg_new/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=29236

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

หัวหน้าของบิชอพแห่งเนเปิลส์ สั่้งคริสศาสนิกชนงดจูบขวดศักดิ์สิทธิ์ป้องกันไข้หวัด 2009 ระบาด

เอเอฟพี - หัวหน้าของบิชอพแห่งเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ได้ขอให้คริสต์ศาสนิกชนงดจูบขวดแก้วใส 2 ขวดที่เชื่อว่าบรรจุหยาดโลหิตของเซนต์แจนยัวริอุส เพราะมีความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่2009
การตัดสินใจมีขึ้นไม่กี่วันหลังจากชายวัย 51 ปีรายหนึ่งจากเนเปิลส์ กลายเป็นคนแรกในอิตาลีที่เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1

ในแต่ละปีผู้ศรัทธาคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกหลายพันคนจะเดินทาง มายังอาสนวิหารเนเปิลส์ สถานที่ที่เก็บขวดบรรจุพระโลหิตแห้งของเซนต์แจนยัวริอุสที่กลายเป็นของเหลว แม้ว่าทางโบสถ์จะไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามันคือสิ่งอัศจรรย์ก็ตาม

"ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข จะไม่มีการจูบสิ่งที่ตกทอดกันมา" โฆษกของโบสถ์เซนต์แจนยูริอุส บอกกับเอเอฟพี "แต่เราก็ยังอนุญาตให้ใช้หน้าผากสัมผัสขวดแก้วได้"

เซนต์แจนยูริอุสคือหนึ่งในนักบุญซึ่งเป็นที่เลื่อมใสในนโปเลียน และได้เปิดโอกาสให้คริสศาสนิกชนเข้าสักการะขวดแก้ว 3 ครั้งต่อปี โดยผู้ศรัทธาบางรายบอกว่าโลหิตแห้งได้กลายเป็นของเหลวหรือแม้แต่เพิ่มขึ้น อย่างมากระหว่างจัดแสดง

ผู้ศรัทธาเชื่อกันว่าหากโลหิตกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็ว เนปิ้ลส์ ก็นับเป็นพรแห่งความโชคดีของเมือง แต่หากว่าโลหิตเปลี่ยนแปลงช้า เมืองทางภาคใต้ของอิตาลีแห่งนี้ก็อาจต้องเผชิญกับหายนะ

ที่มาข่าว: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104277

เชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดในฝรั่งเศสเร็วกว่าที่คาด

เอเอฟพี - ขณะนี้ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สัปดาห์ละ 20,000 ราย สูงกว่าที่ทางการประเมินมาก “จีอาร์โอจี” หน่วยเฝ้าระวังหวัด 2009 แบบรายทวีปแถลงวานนี้ (7)

“เฉลี่ยแล้ว ฝรั่งเศสพบผู้ติดเชื้อสูงสุด 20,000 รายต่อสัปดาห์” ฌอง มาเรีย โคเฮน ผู้อำนวยการจีอาร์โอจีบอกกับผู้สื่อข่าว

พบผู้ติดเชื้อหวัด 2009 รายใหม่จำนวนมากที่สุด 23,000 รายเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม และจากการประเมินของจีอาร์โอจีพบว่า มีผู้ติดเชื้อราว 71,800 รายในเมืองหลวงของฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคมถึง 31 สิงหาคม

แม้ก่อนหน้านั้น สถาบันเฝ้าระวังด้านสุขภาพ (อินวีเอส) ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีผู้ติดเชื้อหวัด 2009 รายใหม่เพียง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม

ทั้งนี้ จีอาร์โอจีอ้างอิงข้อมูลจากเครือข่ายแพทย์และกุมารแพทย์จำนวน 5,000 คน ที่รักษาอาการติดเชื้อฉับพลันในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยระดับภูมิภาค แล้วนำมาประเมินข้อมูลทั่วประเทศ

“เรามั่นใจว่า ตัวเลขของเราใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยมีความผิดพลาดไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์” โคเฮนกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วฝรั่งเศสพบผู้ติดเชื้อหวัดตามฤดูกาลจำนวนมากถึง 500,000 รายต่อสัปดาห์

“เรากำลังเผชิญกับคลื่นระลอกเล็ก ก่อนที่คลื่นยักษ์จะถาโถม” โคเฮนกล่าว

ที่มาข่าว : http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000103782

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

องค์การอนามัยโลกเตือนประชากรโลกอาจติดเชื้อหวัด 2009 ถึง 1 ใน 3

นายเคอิจิ ฟูกูดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO คาดว่า ประชากรโลกราว 1 ใน 3 อาจตกเป็นเหยื่อของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในช่วงปีแรกของการระบาด ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานของการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในศตวรรษที่ 20
นายฟูกูดะเตือนรัฐบาลทั่วโลกอีกว่า ให้เตรียมพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รอบ 2 นอกจากนี้ ประชาคมโลกยังจะต้องช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ในการรับมือกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ฯ2009 ด้วย

ที่มา: http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000103743

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ต้มโคล้งรวมมิตรตำรับอาหารไทย สูตรแม่นายกฯ ช่วยต้านหวัด 2009

ในงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 6” ภายใต้แนวคิด “พืชผักสมุนไพร สร้างเศรษฐกิจไทย ต้านภัยไข้หวัด” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 ก.ย. ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีการทำ “น้ำซุปต้มโคล้งไก่บ้านต้านหวัด” สูตร คุณแม่นายกฯ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ มาให้ประชาชนได้ชิมกัน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้นำสูตรดังกล่าวมาเผยแพร่ด้วย

ตำรับอาหารต้านหวัด

ต้มโคล้งรวมมิตร
(ตำรับ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ)

ต้มโคล้งเป็นตำรับอาหารไทยที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณต้านหวัด ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เหมาะกับสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นอย่างยิ่ง

เครื่องปรุง 1. ตะไคร้ 5 ต้น (ล้างหั่นเป็นท่อน ๆ) 2. ข่า (ล้าง เผา ปอก หั่น 1 กำมือ) 3. ขิง (ล้าง ปอก หั่น 1 กำมือ) 4. ขมิ้นชัน (ขมิ้นแกง 5 ท่อนปอกหั่น) 5. หอมแดง (เผา) ทุบพอแตก 6. มะขามอ่อน 1-2 ฝัก หรือยอดมะขามอ่อน 1 กำมือ 7. เกลือ 1 ช้อนชา 8. น้ำ 3 ลิตร 9. น้ำซุปไก่หรือ ปลากรอบชนิดต่าง ๆ ปลาช่อนแห้ง ปลาแดดเดียว (ย่าง) ชนิดใดชนิดหนึ่ง 10. กะเพรา 1 กำมือ 11. พริกขี้หนูตามชอบ และพริกแห้งเผา 2 เม็ด

วิธีปรุง เครื่องปรุง 1-8 ต้มให้เดือดสักพัก (ควรใช้หม้อเคลือบ) ถ้าไม่ต้องการเปรี้ยวมากเอาฝักมะขามอ่อนออกเสียก่อน

ต่อไปแบ่งน้ำและเครื่องปรุงที่ต้องการรับประทานมา ต้มกับปลากรอบหรือเติมน้ำซุปไก่ (อาจใส่เนื้อไก่ลงไปด้วย) ลงไปประมาณหนึ่งต่อสี่ แล้วเติมกะเพราและพริก ก่อนยกลงจากเตา (ส่วนที่เหลือเก็บทำได้อีกในวันรุ่งขึ้น) ชิมดูขาดรสอะไร เติมได้ตามชอบ เช่น ขาดรสเค็มก็เติมน้ำปลา ขาดรสเปรี้ยวก็เติมมะนาว ขาดรสเผ็ดก็เติมพริก ชอบรสหวานก็เติมน้ำตาล

วิธีการเตรียมซุปไก่ เพื่อบรรเทาหวัด เป็นดังนี้ ตุ๋นไก่ชำแหละแล้ว 1 ตัว น้ำประมาณ 4 ลิตร ใช้ไฟอ่อน ๆ จนไก่เปื่อยจนน้ำเหลือประมาณ 1 ลิตร ช้อนเนื้อและกระดูกออก เก็บส่วนที่เป็นน้ำไว้เป็นน้ำสต๊อกของน้ำซุปไก่

วิธีรับประทาน รับประทานกับข้าวสวย และซดน้ำแกงตามชอบสรรพคุณสมุนไพรในต้มโคล้งรวมมิตร

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่คนไทยและคนจีนโบราณใช้ในการรักษาหวัด หวัดใหญ่ แก้ไข้ แก้ปวดหัว มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน แก้อักเสบได้ดีเยี่ยม ตะไคร้เหมาะสำหรับการบรรเทาอาการหวัด เพราะมีรสเผ็ดร้อน และมีน้ำมันหอมระเหยทำให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย

ขิง คนทุกมุมโลกใช้ขิงแก้หวัด แก้ไอ–มีสารหลายชนิดในขิงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และมีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้มทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาส จับกินเหยื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น

หอมแดง คนไทยใช้หอมในการรักษาหวัดมาตั้งนานแล้ว พบว่าในหัวหอมเล็กมีสารเคอร์ซิติน ที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านฮิสตามีน ช่วยขยายหลอดลม

กะเพรา คนไทยและคน อินเดียนิยม แก้หวัด แก้ไอ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง มีฤทธิ์ต้านอาการไอ คลายเครียด แก้อักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ

ข่า สมุนไพรรสร้อน ที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยลดน้ำมูก ขับเสมหะ และ ลดอาการอักเสบหรืออาการอื่น ๆ อันเนื่องจากหวัด

ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แก้แพ้ ต้านอนุมูลอิสระ อินเดียนิยมใช้เป็นยาแก้หวัด

พริก ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ รวมทั้งยังใช้บรรเทาอาการไอในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอดอีกด้วย

ใบมะขามอ่อน มีรสเปรี้ยว ช่วยขับเสมหะ ช่วยระบายความร้อน ลดไข้

น้ำซุปไก่เป็นยาต้านหวัด นาย แพทย์สตีเฟน เรนนาร์ด หัวหน้าแผนกโรคปอดแห่งมหาวิทยาลัยเนแบรสกา แนะนำให้ตุ๋นไก่ทั้งตัว เอาน้ำซุปจิบแก้ไอเนื่องจากหวัด ได้ผลดี ไก่มีกรดอะมิโนตามธรรมชาติชื่อซีสเทอีน (cysteine) ซึ่งมีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับยาอะเซทีลซีสเทอีน ซึ่งเป็นยาขับเสมหะตัวหนึ่ง (อันที่จริงยาอะเซทีลซีสเทอีน ก็มีต้นกำเนิดมาจากสารสกัดจากขนและหนังไก่)

หมอสตีเฟน ศึกษาพบว่า ซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวที่ชื่อ “นิวโทรฟิลส์” ไปยังเนื้อเยื่อปอด ซึ่งจะช่วยลดขบวนการอักเสบในปอด และบรรเทาการไอได้

การใช้ซุปไก่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 เพื่อรักษาอาการหอบหืดเมื่อพิสูจน์ก็พบว่า มันใช้ได้ผลจริง โดยเฉพาะการบรรเทาอาการคัดจมูกและป้องกันไม่ให้เกิดการไอซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก แม้เจือจางซุปไก่ด้วยน้ำ 200 ส่วน มันก็ยังออกฤทธิ์ได้.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=505&contentId=18326

องค์การอนามัยโลกเตือนเขมร พื้นที่แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ซินหัว - ทางการกัมพูชาและองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกเตือนว่า ขณะนี้กัมพูชาอยู่ในภาวะการเผชิญหน้ากับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส A/H1N1 หรือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

กระทรวงสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลก รายงานว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับเชื้อจากต่างประเทศหรือไม่ ก็ติดต่อจากนักท่องเที่ยวมากกว่าที่จะติดจากคนในประเทศด้วยกันเอง แต่ในตอนนี้มีตัวบ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส A/H1N1 ในท้องถิ่นเกิดขึ้นแล้ว

“มีผู้ป่วยชาวเขมร 5 ราย ได้รับการยืนยันแล้วว่า ได้รับติดเชื้อไวรัสจากภายในประเทศ เพราะไม่มีประวัติการเดินทางหรือติดต่อกับนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย” ทั้งนี้ เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากรายงานที่ระบุไว้

จนถึงวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัส A/H1N1 ในกัมพูชามีทั้งหมด 31 ราย โดยที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว

องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นับถึงวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 209,438 คน จากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าวนี้เพียง 1% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ได้แพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อ WHO อีกในระยะนี้

สำหรับความพยายามที่จะชะลอการแพร่ระบาดของโรคนี้ในกัมพูชา ผู้ป่วยที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าติดเชื้อไวรัส A/H1N1 จะต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยหรือแยกตัวอยู่กับบ้าน หรือที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลา 7 วัน

ที่มา: http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000102346

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริการายงานเด็กอเมริกาตายจากไข้หวัดพันธุ์ใหม่2009 มากถึง36ราย

เอเจนซี - ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริการายงานเมื่อวันพฤหัสบดี(3) ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ปลิดชีพเด็กอเมริกาไปแล้ว 36 ราย ในจำนวนนั้นกว่า 2 ใน 3 มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว

เด็กสหรัฐฯร้องไห้งอแงขณะตรวจหาเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1 ขณะที่ไข้หวัดพันธุ์ใหม่นี้ได้คร่าชีวิตเด็กมะกันไปแล้วหลายสิบคน

รายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ระบุว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เสียชีวิตมีเงื่อนไขทางการแพทย์ที่นำเด็กไปสู่ความ เสี่ยงอาการรุนแรง อาทิป่วยเป็นโรคหอบหืดหรือทุพพลภาพอย่างเช่นสมองพิการ ขณะที่อีก 22 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

ซีดีซี ระบุว่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พวกเขามีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1 ภายในประเทศ 477 คน ในจำนวนนั้นเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี "2ใน3ของผู้เสียชีวิต เด็กเหล่านั้นล้วนแค่มีอาการป่วยแฝงอยู่หรือทุพพลภาพ ... สมองพิการ โรคกล้ามเนื้อเสื่อม ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังหรือโรคหัวใจ" ดอกเตอร์โธมัส เฟรเดน ผู้อำนวยการซีดีซีบอกกับผู้สื่อข่าว

"แต่ก็มีเด็กบางส่วนที่เสียชีวิตแม้ไม่มีอาการป่วยแฝงอยู่ เนื่องจากพวกเขาสามารถติดเชื้ออื่นๆได้ทั่วไปซึ่งรวมไปถึงแบคทีเรีย" เฟรเดน ระบุ "เมื่อคุณป่วยเป็นไข้หวัด ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงเล็กน้อย ทำให้คุณอาจอ่อนแอต่อเชื้อโรคอื่นๆ มันคือข้อมูสำคัญสำหรับหมอที่ได้รู้ว่าหากบางคนป่วยเป็นหวัด เมื่อพวกเขาอาการดีขึ้น พวกเขาก็ยังสามารถล้มป่วยด้วยอาการไข้สูงได้อีกครั้ง นั่นบอกเป็นนัยๆว่าบางทีพวกเขาควรได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ"

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา คาดหมายว่าจะมีอเมริกันชนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 กว่า 1 ล้านคนและคาดหมายว่าจะมีการแพร่ระบาดกว้างขวางและรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อหลาย โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนตามปกติหลังจากปิดเทอมฤดูร้อน

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000101075

สำนักงานควบคุมอาหารและยาแห่งชาติจีนรับรองวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ A(H1N1) แ้ล้ว

ผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลองของบริษัทไบโอเทค Sinovac ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ขณะนี้ ชิโนวัคได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯแล้ว และการที่ อย.จีนแถลงรับรองยาวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของชิโนวัค ซึ่งออกฤทธิ์ป้องกันได้ผลเพียงใช้ตัวยาโดสเดียว ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมการลงทุนในต่างแดนของบริษัท-เอเอฟพี

เอเจนซี-สำนักงานควบคุมอาหารและยาแห่งชาติจีนรับรองวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ A(H1N1) ซึ่งได้รับการพัฒนาและผลิตโดยบริษัทจีน ชิโนวัค (Sinovac) โดยวัคซีนตัวใหม่นี้ออกฤทธิ์ป้องกันเชื้อโรคอย่างได้ผลด้วยยาเพียงโดสเดียว

ทั้งนี้ ก่อนหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างสรุปว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นั้น ต้องใช้ยาสองโดสจึงได้ผล

นาย จาง เหว่ย หัวหน้าแผนกทะเบียนยา ภายใต้สังกัดอย.จีน แถลงการณ์รับรองวัคซีนตัวนี้ต่อที่ประชุมข่าวเมื่อวันพฤหัสฯ(3 ก.ย.)

“การทดลองวัคซีนป้องกันเชื้อ A(H1N1) ของบริษัทชิโนวัค ปรากฏผลน่าพอใจ ทั้งมีความปลอดภัยมาก” จางกล่าว พร้อมว่าขณะนี้อย.กำลังพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนยาวัคซีนป้องกันเชื้อไข้ หวัดสายพันธุ์ใหม่ของบริษัทอื่นๆ 9 ราย โดยคาดว่าจะสามารถตัดสินได้ราวกลางเดือนกันยายนนี้

สถานการณ์ การแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในจีน ยังน่ากลัว เนื่องจากเงื่อนไขฤดูกาลที่กำลังย่างสู่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อันเป็นช่วงที่เชื้อหวัดแพร่ระบาดได้ดี นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ยังเป็นช่วงเปิดเทอมที่นักเรียนนักศึกษานับแสนๆคนกลับเข้าห้อง เรียน และเมื่อไม่กี่วันมานี้กระทรวงสาธารณสุขจีนก็ได้ประกาศเตือนการแพร่ระบาด ระลอกใหม่

ในวันพุธ(2 ก.ย.) ทางการจีนแถลงยอดผู้ติดเชื้อไวรัส A(H1N1) ในประเทศจีน เท่ากับ 3,981 ราย แต่ยังไม่มีรายงานกรณีเสียชีวิต

รัฐบาลจีนมีแผนฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 65 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน ก่อนสิ้นปีนี้

ด้านองค์การอนามัยโลก หรือฮู รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหม่ทั่วโลก อย่างน้อย 2,185 ราย นอกจากนี้ยังได้เตือนภาวะขาดแคลนวัคซีนป้องกันเชื้อโรคดังกล่าวในช่วงฤดู หนาว ที่กำลังมาเยือนซีกโลกเหนือ

“ใน 2-3 เดือนข้างหน้า อาจมีวัคซีนไม่เพียงพอสำหรับป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ฯ” Margaret Chan ผู้อำนวยการใหญ่ของฮู กล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว

ขณะนี้ กลุ่มบริษัทเภสัชกรรมมากกว่า 20 รายทั่วโลก กำลังแข่งกับเวลาในการทดลองและผลิตวัคซีนออกมาก่อนที่จะมีการระบาดระลอกสอง และคาดว่ากลุ่ม 5 ยักษ์ใหญ่เภสัชกรรมโลก ได้แก่ ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ (Sanofi-Pasteur) แห่งฝรั่งเศส, แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และกลาโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline-GSK) แห่งอังกฤษ, Baxter แห่งสหรัฐอเมริกา , และโนวาร์ตีส (Novartis) แห่งสวิตเซอร์แลนด์ จะเป็นแหล่งป้อนยามากกว่าร้อยละ 80

ใน วันพฤหัสฯ(3 ก.ย.) โนวาร์ตีสเผยว่า ทางบริษัทได้ทำการทดลองทางการแพทย์ Celtura วัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และได้ผลน่าพอใจ นอกจากนี้ ตัวยาใหม่นี้อาจใช้เพียงโดสเดียวก็ได้ผล ทั้งนี้จากการแถลงของ Andrin Oswald กรรมการผู้จัดการใหญ่ Novartis Vaccines and Diagnostics.

ที่มา: http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100925

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

เผยวัคซีนไข้หวัด2009 แพงสุด20ดอลลาร์ต่อโดส

เอเอฟพี - คาดหมายว่าประเทศต่างๆทั่วโลกต้องจ่ายเงินระหว่าง 2.50 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อวัคซีนรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 1 โดส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายของแต่ละประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกเปิดเผยเมื่อวันพุธ(2)
วัคซีนไข้หวัดใหญ่2009 กำลังส่งถึงประเทศต่างๆ ขณะที่คาดหมายว่าราคาในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน

นอกจากนี้ แมรี่ พอล คีนีย์ ผู้อำนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ยังเตือนด้วยว่าวัคซีนจะไม่เพียงพอต่อพลเมืองโลกทั้งหมดและประชาชนไม่ควรไว้ วางใจวัคซีนเพียงอย่างเดียว พร้อมแนะให้ใช้มาตรการป้องกันอื่นๆในการต่อสู้กับไว้รัสเอช1เอ็น1 อาทิหลีกเลี่ยงแหล่งชุมนุมชนขนาดใหญ่ รวมถึงปิดโรงเรียนและเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะส่วนตัว

คีนีย์ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารด้านสาธารณสุขฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ(2) ว่า "มีมาตรการอื่นๆ อาทิเว้นระยะห่างทางสังคม ปิดโรงเรียน หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมชน ใช้ยาปฏิชีวนะและเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะส่วนตัว นี่ไม่เหมือนโรคพิษสุนัขบ้า ที่เหยื่อต้องตายทุกคนหากไม่ได้รับวัคซีน เรากำลังพูดถึงโรคติดต่อที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้"

ผู้อำนวยการด้านวิจัยวัคซีนย้ำว่าองค์การอนามัยโลกจะช่วยประเทศต่างๆ ให้เข้าถึงวัคซีนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และชาติร่ำรวยอาจต้องจ่าย มากกว่า 25 ดอลลาร์สำหรับวัคซีน 1 โดส

"อุตสาหกรรมนี้จะกำหนดราคาเป็นขั้นๆ ดังนั้นประเทศที่มีรายได้สูงอาจต้องจ่ายเงินราว 10 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อโดส ส่วนประเทศที่มีรายได้ระดับกลางอาจต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง ขณะที่ประเทศที่มีรายได้น้อยจะซื้อได้ในราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ระดับกลาง" เธอกล่าว

อังกฤษและฝรั่งเศสได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ชุดแรกแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มต้นรับมือกับความคาดหมายว่าอาจเกิดการระบาด ของไวรัสเอช1เอ็น1ระลอกสองในช่วงฤดูหนาวของประเทศในซีกโลกเหนือ

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100564

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนามระบาดเร็ว สุดสัปดาห์เจอผู้ป่วยติดเชื้อกว่า 300 ราย

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส A/H1N1 หรือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนาม พุ่งสูงขึ้นอีกมากกว่าวันละ 150 ราย โดยในวันที่ 29 ส.ค.พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้สูงที่สุดถึง 157 ราย และพบอีก 152 รายในวันที่ 30 ส.ค.

ภาพสำนักข่าวเวียดนามเน็ต โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและโรคติดต่อในนครโฮจิมินห์รับคนไข้อีกนับร้อยใน ช่วงสุดสัปดาห์มานี้ ไวรัส A/H1N1 ยังคงลุกลามไม่หยุดและแพร่ระบาดเร็วกว่าเดิม เพียงแค่สองวันพบผู้ป่วยกว่า 300 คนทั่วประเทศ

ผู้ป่วยที่พบส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่พบในบริเวณพื้นที่ราบสูงภาคกลางก็ยังคงเพิ่มจำนวน ขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดมีผู้ป่วยรายใหม่อีก 18 รายเมื่อวันที่ 30 ส.ค.

จนถึงในช่วงสัปดาห์ระหว่างวันที่ 23-30 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั่วประเทศพบผู้ติดเชื้อไวรัส A/H1N1 เพิ่มอีกถึง 825 ราย นับเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมเมื่อเทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่พบผู้ ป่วยทั้งสิ้น 533 ราย

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ โรงเรียนหลายแห่งในเมืองหลวงหรือกรุงฮานอยได้อยู่ภายใต้แผนการป้องกันการ แพร่ระบาดเป็นอย่างดี ทำให้จนถึงวันที่ 28 ส.ค.ยังไม่ปรากฏผู้ติดเชื้อรายใหม่

นายเหงียน ฮวี งา (Nguyen Huy Nga) อธิบดีกรมป้องกันควมคุมโรคและสิ่งแวดล้อมกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกระทรวง ได้ทำการตรวจตราตามโรงเรียนต่างๆ ในกรุงฮานอยและจังหวัดถายงเวียน (Thai Nguyen) ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือเป็นจำนวนทั้งสิ้น 13 โรง แต่โรงเรียนตามพื้นที่ในชนบทนั้นยังคงพบกับอุปสรรคในการดำเนินการป้องกันการ ติดเชื้อไข้หวัด อันเนื่องมาจากสภาวะด้านสุขอนามัยที่ไม่ดีในประชาชน การขาดแคลนเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุข และจำนวนหน้ากากอนามัยที่ไม่เพียงพอแจกจ่ายให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ต่างๆ

นับตั้งที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเวียดนาม จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยจำนวนผู้ป่วยที่ปรากฏในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ค.พบยอดผู้ป่วยเพิ่มเพียง 300 ราย และขยับสูงขึ้นอีกจำนวนกว่า 1,000 ราย ในช่วงต้นเดือน ส.ค.

ที่มา:http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100246

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ลามต่างจังหวัดฉุดไม่อยู่ ระบาดหนัก 15 จังหวัดเหนือ-อีสาน ยอดผู้ป่วยพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ลามต่างจังหวัดฉุดไม่อยู่ ระบาดหนัก 15 จังหวัดเหนือ-อีสาน ยอดผู้ป่วยพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เร่งประสาน อปท.ทั่วประเทศหนุนมาตรการป้องกันโรค กลุ่มนักเรียนมากที่สุด ห่วงโรงเรียนในสังกัด สพฐ.กว่า 1,000 แห่ง มีปัญหาขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ส่งผลเด็กไม่มีน้ำล้างมือ ป้องกันโรคสะดุด ด้าน “วิทยา” พอใจผลงานรณรงค์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ของ อสม.ส่งตัวผู้มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่พบหมอ กว่า 5 หมื่นคน ในจำนวนนี้อาการรุนแรง 3,705 คน สั่ง อสม.ปฏิบัติต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคม 2552

วันที่ 1 ก.ย.ที่ จ.ลำปาง นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทำงานป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จ.ลำปาง โดยเฉพาะพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่ถอด อ.เถิน ถือเป็นชุมชนตัวอย่างในการจัดการตัวเองป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากแต่ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตแต่อย่างใด

นพ.มงคล กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การระบาดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานมีอัตราผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 15 จังหวัด มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยสูงที่สุด ได้แก่ ราชบุรี เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ ลำปาง เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี ซึ่งสวนทางกับเขตเมืองและปริมณฑลที่มีอัตราผู้ป่วยชะลอตัวลงแล้ว ทำให้จำเป็นต้องเร่งใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข็มงวดขึ้น

“หาก ไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดในพื้นที่ชนบทได้จะทำให้ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.ซึ่งเป็นช่วยปลายฝนต้นหนาว ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่แล้ว จะมีความน่ากังวลมาก เพราะพื้นที่ชนบทถือว่าเป็นแนวกันชนที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดระลอก 2 ในเขตเมืองได้อีก แต่หากในชนบทมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอาจจะส่งผลกระทบทำให้การระบาดของโรค แพร่กลับข้าสู่เขตเมืองอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อีกทำให้เกิดการระบาดระลอก 2 ได้”นพ.มงคล กล่าว

นพ.มงคล กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกันกับ อปท.เห็นได้ว่า มีความพร้อมและการเตรียมตัวเป็นอย่างดีทำให้เชื้อว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยใน ชุมชนและป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในรอบ 2 ได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องให้ความรู้อย่างต่อเนื่องทั้งในพื้นที่อื่นๆ แม้ว่าขณะนี้โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีความพร้อมในการดูแลประชาชนอยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องทราบว่า ควรไปพบแพทย์หรือไม่ และควรไปพบแพทย์เมื่อใด

“นอก จากนี้ ได้รับข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า มีโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ประมาณ 1,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ จึงทำให้กังวลว่า อาจส่งผลกระทบต่อการป้องกันโรคไข้หวัดได้ เพราะนักเรียนและครู อาจะไม่มีน้ำใช้ล้างมือได้อย่างเพียงพอ ซึ่งเบื้องต้น จากการตรวจสอบปัญหาขาดแคลนน้ำของโรงเรียนในจ.ลำปาง ซึ่งมีโรงเรียนร้องเรียนว่าขาดแคลนน้ำมากถึง 40 แห่ง พบว่ายังพอมีน้ำดื่ม น้ำใช้เพียงพออยู่ ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบไปยังโรงเรียนในจังหวัดอื่นๆ ด้วย เพื่อเร่งหาทางแก้ปัญหา”นพ.มงคล กล่าว

ศ.พญ.สยมพร ศิรินาวิน หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทย เริ่มมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการระบาดไปพร้อมๆ กับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วย โดยอาการป่วยของโรคไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 ชนิด มีอาการคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการรักษา โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สามารถใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์รักษาหายขาดได้ ขณะที่ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไม่สามารถใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้รักษาได้ เพราะเชื้อไวรัสดื้อยาแล้ว 100% ประกอบกับ แพทย์ไม่สามารถตรวจหาเชื้อให้กับผู้ป่วยทุกรายได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์การระบาดในภาพรวมว่ามีเชื้อไวรัสชนิดใด ระบาดอยู่ และแพทย์จะต้องใช้ความ

นายอุดม สุวรรณพิมพ์ นักวิชาการ สุขาภิบาล อบต.แม่ถอด กล่าวว่า ตั้งแต่มีการะบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในอ.เถิน มีผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์แล้ว 228 ราย ยังไม่มีผู้เสียชีวิต คิดเป็นอันตราป่วย ร้อยละ 09.1 ต่อ แสนประชากร โดยในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ กลุ่มนักเรียนร้อยละ 70.61 และกลุ่มนักศึกษา ร้อยละ 9.21 โดยมาตรการป้องกันความรุนแรงของโรคที่สำคัญ 3 ก 1 ล คือ ใกล้ตา ใกล้ใจ ใกล้ชิด และ ลุยแก้ปัญหา โดยจัดหน่วยสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรค ในชุมชน มีระบบเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มแข็ง จัดจุดคัดกรองผู้ป่วยทุกโรงเรียน ทุกงานเทศกาล หรือการชุมนุมโดยได้รับความร่วมมือจากประชาชนในชุมชมเป็นอย่างดี ประชาชนสามารถเข้าถึงป้องกันโรคทั้ง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ได้ง่ายโดยผ่านผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โรงเรียน ฯลฯ

วันเดียวกัน ที่โรงแรมโนโวเทล จังหวัดระยอง นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมมอบนโยบาย อสม.ในเขตจังหวัดภาคกลาง ว่า หลังจากสธ.ได้ให้อสม.ทั่วประเทศที่มีกว่า 970,000 คน เป็นแกนนำรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ และทำการตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการป่วยด้วยไข้หวัดในหมู่บ้านรับผิดชอบ คนละ 10-15 หลังคาเรือน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 เป็นต้นมา พบว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“จากรายงาน อย่างไม่เป็นทางการใน 61 จังหวัด อสม.ได้ออกเยี่ยมบ้านรวมทั้งหมด 2,307,964 คน ประกอบด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต มะเร็ง โรคเลือด หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ คนอ้วน ผู้สูงอายุ จำนวน 1,991,698 คน พบผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่และส่งตัวไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ 44,258 คน หรือประมาณร้อยละ 2 โดยมีอาการรุนแรง 3,705 คน”นายวิทยา กล่าว

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ส่วนในกลุ่มปกติทั่วไป พบมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทั้งหมด 316,266 คนในจำนวนนี้มีอาการรุนแรงต้องส่งตัวพบแพทย์ในโรงพยาบาลรวม 10,175 คน รวมแล้วผลการออกปฏิบัติการของอสม.ครั้งนี้ ได้ค้นพบผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ในหมู่บ้านต่างๆ ที่ต้องส่งตัวเข้าพบแพทย์ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจอย่างละเอียดรวมทั้งหมด 54,433 คน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ แต่ ทำให้เราสามารถคัดกรองผู้ป่วยในหมู่บ้านไปรักษาและเฝ้าระวังสถานการณ์ในหมู่ บ้านได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้สามารถลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้เป็นอันมาก โดยได้ขอความร่วมมือให้อสม.ทั่วประเทศ ปฏิบัติการต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศเริ่มหนาวเย็น และจะประเมินผลต่อไป

ที่มา : http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099855

"วิทยา แก้วภราดัย" ระบุยังไม่ได้รับรายงานไข้หวัด 2009 กลายพันธุ์

รมว.สธ.ระบุ ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในสหรัฐอเมริกา ยืนยัน มาตรการการป้องกันยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขณะนี้ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อ

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าววันนี้ (1 ก.ย.) ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง หลังติดเชื้อ แต่ยืนยันว่า มาตรการในการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีการแพร่ระบาดของเชื้ออยู่ แต่เหตุที่พบการติดเชื้อลดลง เพราะประชาชนมีความตื่นตัวในการป้องกันมากขึ้น ประกอบกับมาตรการในการป้องกันของภาครัฐมีความเข้มข้นมากขึ้น

กรณีที่ ช่วงนี้เริ่มมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดตามฤดูกาล จนทำให้นักวิชาการเกรงว่า จะมีการกลายพันธุ์ของเชื้อนั้น นายวิทยา กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อ

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/30190

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

กทม.รวมพลัง สสส.ส่ง “ปังปอนด์” ยุวทูตวัยใส รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในโรงเรียน 50 ทั่วพื้นที่ กทม.

กทม.รวมพลัง สสส.ส่ง “ปังปอนด์” ยุวทูตวัยใส รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในโรงเรียน 50 ทั่วพื้นที่ กทม. “หมอมาลินี” ยันหวัด 2009 จะไม่กลับมาสร้างปัญหาให้คนกรุงแน่น่อน แต่ขอให้ระวังข้อต่อฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว

วันนี้ (31 ส.ค.) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมแถลงข่าวโครงการ “ปังปอนด์ ยุวทูตวัยใส กับปฏิบัติการปิ๊ดปี้ปิ๊ด รวมพลังสู้หวัด” โดยพญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เนื่องจากสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ใน กทม.ตัวเลขผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต ลดลง ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้น จึงทำให้ประชาชนเริ่มลดการป้องกันลง ในช่วงฤดูฝนต่อเนื่องฤดูหนาว จึงอยากให้ประชาชนตื่นตัวเฝ้าระวังโรค โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาชน กทม.จึงได้ใช้ปังปอนด์เป็นสื่อให้ความรู้ ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่2009 ในโรงเรียน และจัดทำแอนิเมชั่นเผยแพร่ทางทีวี

พญ.มาลินี กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในพื้นที่ กทม.มีแนวโน้มจะไม่เกิดขึ้นเพราะส่วนใหญ่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันแล้ว นอกจากนี้ สั่งการให้ นพ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม.ประสานงานกับกรมปศุสัตว์ให้ความรู้กับผู้ประกอบการเลี้ยงเป็ดไก่ สุกร ก่อนเข้าในฟาร์มต้องคุมเรื่องความสะอาดป้องกันการกลายพันธุ์ของโรคในสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาจกลับมาระบาดได้อีกครั้ง สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ใน กทม. สำนักอนามัยรายงานตัวเลยผู้ป่วยสะสมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552 จำนวน 4,168 คน เสียชีวิต 22 คน หายจากอาการป่วยหรืออาการดีขึ้น 3,520 คน อยู่ระว่างรักษาและติดตามผล 626 คน ผู้ป่วยเป็นเยาชนและนักเรียนร้อยละ 51.3 กลุ่มอายุที่เป็นมากที่สุดคือ 11-20 ปี สำหรับการเฝ้าระวังการระบาดในรอบที่ 2

สำหรับ โรงเรียนที่ปังปอนด์ยุวทูตวัยใสจะไปร่วมรณรงค์เบื้องต้นมีจำนวน 50 โรงเรียน เช่น โรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส, โรงเรียนศิรินุสรณ์วิทยา, โรงเรียนแย้มจาดวิชชานุสรณ์, โรงเรียนยุวทูตศึกษา, โรงเรียนเสนานิคม, โรงเรียนอิสลามสันติชน, โรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์, โรงเรียนวัดบึงทองหลาง, โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง, โรงเรียนวัดเทวะสุนทร, โรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์, โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ , โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย, โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก แผนกประถม, โรงเรียนทิวไผ่งาม, โรงเรียนสมศรีรื่นศึกษา, โรงเรียนคลองทรงกระเทียม เป็นต้น

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099226

ชิโนวัค (Sinovac) บริษัทผลิตยาของจีน เปิดตัววัคซีนป้องกันไข้หวัด 2009 ราคาถูกกว่าตะวันตก

เอเจนซี - บริษัทผลิตยาของจีน ชิโนวัค (Sinovac) - http://www.sinovac.com/ วางแผนจำหน่ายวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสหวัด 2009 ที่จะออกฤทธิ์ภายหลังจากฉีดเข้าร่างกายไปเพียง 1 โดสเท่านั้น และสนนราคาก็ถูกกว่าวัคซีนที่ชาติตะวันตกพัฒนาถึง 30%

อิน เว่ยตง ประธานบริษัทชิโนวัคให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ธุรกิจ “เอลอิโคโนมิสตา” ว่า “วัคซีนของเราจะจำหน่ายในราคาถูกกว่าที่ทางบริษัทตะวันตกผลิต โดยสนนราคาของบริษัทต่างชาติจะอยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐฯ แต่ของเราจำหน่ายในราคาถูกกว่านั้น 30%”

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ชิโนวัคได้เปิดเผยว่า หลังจากทดลองทางการแพทย์แล้วผลปรากฎว่า วัคซีนของชิโนวัคเพียง 1 โดสก็สามารถออกฤทธิ์และเพียงพอต่อการป้องกันเชื้อไวรัส H1N1 ชนิด A แล้ว

ปัจจุบันบริษัทตะวันตกอย่างกลุ่มบริษัทเวชภัณฑ์สหรัฐฯ “Baxter” บริษัท “Sanofi-Pasteur” ของฝรั่งเศส, “Novartis” ของสวิสเซอร์แลนด์ และบริษัท “GlaxoSmithKline” ของอังกฤษ กำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัด 2009 แต่อย่างไรก็ดีผู้รับวัคซีนจะต้องฉีดถึง 2 โดสจึงจะเห็นผล

ทั้งนี้ บริษัทซิโนวัคเป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ได้รับเลือกให้จัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดตามฤดูกาลให้แก่สำนักงาน สาธารณสุขปักกิ่ง แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งอินระบุว่า “เราหวังว่าจะได้รับอนุมัติจากทางการจีนในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกันยายนนี้ เพื่อเริ่มจำหน่ายวัคซีน 5 ล้านโดสที่ทางการจีนสั่งซื้อ”

จากข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WTO) ระบุว่า มีประชาชนไม่ต่ำกว่า 2,180 คนทั่วโลกเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสไข้หวัด 2009 ที่เริ่มพบการระบาดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ประธานบริษัทชิโนวัคยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทของเขามีความสามารถในการผลิตวัคซีน 2 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ในต่างประเทศ อย่าง Novartis ของสวิสเซอร์แลนด์ก็ผลิตได้มากถึง 150 ล้านโดสต่อปีเลยทีเดียว

ปัจจุบันซิโนวัคกำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับทางการประเทศกรีซเพื่อจัด หาวัคซีนสู้หวัด 2009 ให้ และกำลังนำวัคซีนมาทดลองทางการแพทย์ที่ยูเครนด้วย อินกล่าว

ที่มา: http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099363

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009

เอเอฟพี - ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 แต่ตอนนี้มีอาการดีขึ้นแล้ว โฆษกส่วนตัวแถลงวานนี้ (30) เพียงไม่กี่วันหลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตระดับภูมิภาคในอาร์เจนตินา

ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1ในแถบละตินอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดหนักที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 รายในเดือนนี้

ประธานาธิบดีอูริเบ เริ่มมีอาการหวัดตั้งแต่วันเสาร์ (29) หลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตที่อาร์เจนตินา จึงต้องเข้ารับการตรวจเช็ค โดยผลยืนยันว่า ผู้นำโคลอมเบียติดหวัด2009 ทั้งนี้จากคำแถลงของเซซาร์ เวลัสเกซ โฆษกส่วนตัว

"ประธานาธิบดีจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ และจะถูกกักตัวระยะหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น" ทั้งนี้ตามที่ระบุในคำแถลง พร้อมย้ำด้วยว่า อูริเบมีอาการดีขึ้นและจะทำงานจากบ้านพัก

เวลัสเกซยังแถลงอีกว่า ทางทำเนียบประธานาธิบดีได้แจ้งให้รัฐบาลต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ให้ตรวจเช็คหากผู้ใดมีอาการป่วย

"เรากำลังแจ้งให้ผู้นำรัฐบาลและทุก ๆ คน ที่สัมผัสใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอูริเบทราบแล้ว" โฆษกกล่าว

จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากหวัด2009 จำนวน 34 รายในโคลอมเบีย และมีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 621 คน ทั้งนี้จากข้อมูลของทางการ

"ปธน.โคลอมเบีย"ติดหวัด2009

เอเอฟพี - ประธานาธิบดีอัลบาโร อูริเบ ผู้นำโคลอมเบียติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 แต่ตอนนี้มีอาการดีขึ้นแล้ว โฆษกส่วนตัวแถลงวานนี้ (30) เพียงไม่กี่วันหลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตระดับภูมิภาคในอาร์เจนตินา

ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1ในแถบละตินอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดหนักที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 รายในเดือนนี้

ประธานาธิบดีอูริเบ เริ่มมีอาการหวัดตั้งแต่วันเสาร์ (29) หลังเดินทางกลับจากการประชุมซัมมิตที่อาร์เจนตินา จึงต้องเข้ารับการตรวจเช็ค โดยผลยืนยันว่า ผู้นำโคลอมเบียติดหวัด2009 ทั้งนี้จากคำแถลงของเซซาร์ เวลัสเกซ โฆษกส่วนตัว

"ประธานาธิบดีจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ และจะถูกกักตัวระยะหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น" ทั้งนี้ตามที่ระบุในคำแถลง พร้อมย้ำด้วยว่า อูริเบมีอาการดีขึ้นและจะทำงานจากบ้านพัก

เวลัสเกซยังแถลงอีกว่า ทางทำเนียบประธานาธิบดีได้แจ้งให้รัฐบาลต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้ง ให้ตรวจเช็คหากใครมีอาการป่วย

"เรากำลังแจ้งให้ผู้นำรัฐบาลและทุก ๆ คน ที่สัมผัสใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอูริเบทราบแล้ว" โฆษกกล่าว

จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากหวัด2009 จำนวน 34 รายในโคลอมเบีย และมีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 621 คน ทั้งนี้จากข้อมูลของทางการ

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099072

อยากรู้ไหมประเทศอะไรที่มียอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัด 2009 สูงสุดในโลก

เอเอฟพี - กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลเผยในวันพุธ (26) ว่ามียอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สูงถึง 557 รายแล้ว กลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกแซงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งมีสถิติผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 522 รายนับถึงวันที่ 20 ส.ค.
ขณะนี้รัฐบาลบราซิลกำลังจัดสรรงบประมาณราว 1,000 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อวัคซีนต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 จำนวน 73 ล้านโดส รวมทั้งสต็อกยาทามิฟลูและอุปกรณ์วินัจฉัยโรคสำหรับโรงพยาบาลต่างๆ

ทว่า อัตราการติดเชื้อในบราซิลก็ดูเหมือนกำลังลดลง เนื่องจากภูมิภาคในซีกโลกใต้กำลังจะผ่านพ้นฤดูหนาวในช่วงปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลย้ำว่า หากเทียบจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมด 190 ล้านคนแล้ว อัตราการเสียชีวิตในบราซิลยังอยู่ในอันดับ 7 ของโลก โดยอาร์เจนตินา ชิลี คอสตาริกา อุรุกวัย ออสเตรเลีย และปารากวัย อยู่ในอันดับสูงกว่า ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งมีประชากรราว 300 ล้านคน อยู่ในอันดับที่ 13

อนึ่ง อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับ จำนวนประชากร โดยล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 439 ราย

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098096

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หมอมงคล" ห่วงไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดหนักพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน

“หมอมงคล” ห่วงหวัดใหญ่ 2009 ระบาดหนักพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน โดยเฉพาะเชียงใหม่ ลำปาง นครสวรรค์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ตัวเลขการติดเชื้อยังสูง 1 ก.ย.เตรียงไปลำปาง หวังสกัดการระบาด

นพ.มงคล ณ สงขลา

นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานอนุกรรมการสนับสนุนการป้องกันควบคุมและการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ว่า ขณะ นี้จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา สถานการณ์ยังคงน่าห่วง เพราะการแพร่ระบาดและการติดเชื้อของประชาชนในต่างจังหวัดมีความรุนแรงมาก ขึ้น และอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ ลำปาง และนครสวรรค์ มีอัตราติดเชื้อเร็วมาก ส่วนจังหวัดร้อยเอ็ดยังพุ่งสูงเช่นกัน ส่วนที่ จ.นครราชสีมาเริ่มทรงตัว ดังนั้น ในวันที่ 1 กันยายนนี้ ตนจะไป จ.ลำปาง เพื่อหาแนวทางป้องกัน ลดตัวเลขแพร่ระบาดลง

"ส่วนคนกรุงเทพฯ อาจจะรู้สึกว่าเป็นช่วงขาลง แต่ต้องระวังว่าอาจจะกลับมาอีกครี้ง ดังนั้น ทุกฝ่ายอย่าได้ประมาทจะต้องตื่นตัวและช่วยกันดูแลป้องกันตลอดเวลา ถ้าไม่ช่วยกันจะอันตรายมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ออกมา"นพ.มงคลกล่าว

นพ.มงคล กล่าวด้วยว่า จากการเดินทางไปพบกับหน่วยงานราชการและเอกชนเพื่อร่วมมือกันรณรงค์ป้องกัน การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 พบว่ามีการตื่นตัวค่อนข้างสูง เช่น กองทัพอากาศ มีการจัดบิ๊กคลีนซิ่ง (Big Cleaning) ทำความสะอาดทั้งกองทัพ เครื่องบิน ซี 130 เช่นเดียวกับกองทัพบกและกองทัพเรือได้ดำเนินการป้องกันมาเป็นระยะเวลา 4 เดือนแล้ว นอกจากนี้ จากการเดินทางร่วมประชุมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ จ.นครราชสีมา พบว่า มีความตื่นตัวมาก เช่น มีการตัดเย็บหน้ากากอนามัยแจกกันเองภายในชุมชน

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098714

องค์การอนามัยโลกเตือนมาเลเซียเร่งสร้างความเข้าใจ-ภัยระบาดของไข้หวัด 2009

องค์การอนามัยโลกออกโรงเตือนมาเลเซียต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจกับ ปชช. เรื่องไข้หวัด 2009 ให้รู้ถึงภัยระบาดของโรค ปัจจุบันมาเลย์มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 71 ราย ...

สำนักข่าวต่าง ประเทศรายงานวันนี้ (30ส.ค.) ว่า รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุถึงชาวมาเลเซียยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ 2009 น้อยมาก โดยเฉพาะความรู้ถึงภัยระบาดของโรค ทำให้ชาวบ้านไม่คิดว่าเชื้อหวัดสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 คือภัยอันตราย จึงไม่ตระหนักป้องกัน ทำให้เชื้อหวัดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทางการมาเลเซียจึงพยายามเร่งรณรงค์ให้ประชนสวมหน้ากากอนามัย ปิดปาก ปิดจมูก พร้อมกับรักษาสุขอนามัยด้านอื่น ๆ ภายใต้ชื่อโครงการ "Let stop H1N1"

ทั้งนี้ การสำรวจสถานการณ์ป้องกันภัยระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในมาเลเซีย ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก 3 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ในมาเลเซียเพิ่มเป็น 71 ราย

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/edu/29652

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วิทยา แก้วภราดัย" ลั่นคุมการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่2009 ได้แล้ว

" วิทยา” ยิ้มไทยเริ่มคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่ 2009 ได้ พร้อมวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานวัคซีน จ.สระบุรี สร้างเสร็จ ปี 2556 ส่วนกรณี "เดย์ ไอโฟน" เหยื่อหวัด2009 สธ.ไม่พบตัวอย่างเชื้อ ยอมรับอาจตกสำรวจ

วานนี้(28 ส.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารผลิตวัคซีนป้องกันโรค ไข้หวัดใหญ่ขององค์การเภสัชกรรม ที่ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 เนื่องจากได้รับรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคว่า แนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เริ่มลดลงในเขตเมือง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2550 คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงได้อนุมัติงบประมาณ 1,411.7 ล้านบาท เพื่อให้อภ.ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก ตามมาตรฐานการผลิตที่ดีขององค์การอนามัยโลก (WHO GMP) โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2556

ด้านนพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะใช้ในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบเชื้อตาย ชนิดฉีด โดยมีกำลังการผลิตที่ 2 ล้านโด๊สต่อปี และหากเกิดการระบาดใหญ่ อภ.จะใช้เทคโนโลยีผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เชื้อเป็น ชนิดพ่นทางปาก ซึ่งสามารถผลิตวัคซีนมากกกว่าเชื้อตายถึง 30 เท่า ประมาณ 60 ล้านโด๊ส เพียงพอต่อคนไทยทั้งประเทศ”นพ.วิทิตกล่าว

ส่วนกรณีการเสียชีวิตของ “เดย์ ไอโฟน” เจ้าของนามแฝงในบอร์ด Creative 7419 ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ที่ใช้ iPhone สามารถใช้ฟอนท์ภาษาไทยบนหน้าปัด iPhone ได้นั้น นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเช็คข้อมูลตัวอย่างผู้ป่วยที่นำมาให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจว่าเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่นั้น ปรากฎว่า ไม่มีชื่อของนายณัฐวัฒน์ ปาใจ หรือเดย์ แต่อย่างใด

ทั้งนี้ คงอาจเป็นเพราะทางโรงพยาบาลเอกชน นำเชื้อไปตรวจยืนยันกับห้องปฏิบัติการแห่งอื่น ซึ่งทางสธ.ต้องยอมรับว่า อาจจะเกิดการตกสำรวจ และจะนำหารือกับฝ่ายบริหารอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรกับความไม่ร่วมมือ ของสถานพยาบาลเอกชน

ที่มา: http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098575

เม็กซิโกอาจมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ถึงล้านคน

เอเอฟพี - ประชากรมากถึง 1 ล้านคนในเม็กซิโก อาจติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าววานนี้ (28) ระหว่างแถลงรายงานผู้เสียชีวิตจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1เอ็น1 ในประเทศ เพิ่มอีก 5 ราย

จากรายงานผู้เสียชีวิตรายล่าสุด ส่งผลให้ตอนนี้ยอดตายจากหวัด 2009 ในเม็กซิโกเพิ่มเป็น 184 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อ 21,264 ราย โฆเซ อังเกล กอร์โดบา กล่าวในคำแถลง

แต่เตือนด้วยว่า "เราคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเป็น 1 ล้านรายในฤดูหนาวนี้"

ไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 ปรากฎครั้งแรกที่เม็กซิโกเมื่อปลายเดือนเมษายน และระบาดอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,200 รายใน 177 ประเทศ และพบผู้ติดเชื้อแล้ว 209,438 คน ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (ฮู)

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098640

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลือลั่นสนั่นเน็ต รพ.เอกชนเมินรักษาไข้หวัด 2009 เป็นเหตุให้ "เดย์ ไอโฟน" เสียชีวิต

“เดย์” หรือนายณัฐวัฒน์ ปาใจ ภาพจาก Hi5 http://trojancop.hi5.com/

โพสต์กันสนั่น เว็บไซต์ Smart-Mobile.com ไว้อาลัย “เดย์” หรือที่รู้จักกันในนามแฝงกันในบอร์ดว่า Creative7419 เจ้าพ่อแห่ง font บน iPhon ที่ทำให้ชาว iPhone ใช้ font ภาษาไทยได้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 เจ้าตัวโพสต์ข้อความก่อนหน้านั่งรถไฟฟ้าไปหาหมอถึง 3 โรงพยาบาล ได้แค่ยาลดไข้พาราเซตามอล หมอเมินไม่สนตรวจเชื้อ ปล่อยให้กลับบ้าน จนกระทั่งตาย

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ได้มีการฟอร์เวิร์ดเมล ถึงการเสียชีวิตของ “เดย์” หรือ นายณัฐวัฒน์ ปาใจ อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยมีการลิงก์เข้าไปในเว็บไซต์ Smart-Mobile.com ที่ นายณัฐวัฒน์ ได้โพสต์ข้อความเล่าอาการป่วยของตนเองก่อนหน้านี้ จนเสียชีวิต ว่า
“วันนี้ ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาที จนถึงสยาม คนลงเยอะ ก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่า ที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ (หูอื้อ) คลำๆ แล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัส ผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืด เลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่า ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น”

วันรุ่งขึ้น “เดย์” โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอน รพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการวินิจฉัยของแพทย์ ตั้งแต่ รพ.เอกชนแห่งแรกที่ไปหา แล้วแพทย์ระบุว่า เป็นไข้ติดเชื้อ ให้ยาพาราเซตามอลมากิน สองวันต่อมาไข้ไม่ลด ผู้ป่วยไปหาแพทย์ใหม่อีกครั้ง แพทย์ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตรวจละเอียด ให้พาราเซตามอลมาอีก จนไม่ไหวผู้ป่วยจึงนั่งรถไฟฟ้าไปพบแพทย์ตามสิทธิประกันสังคม แพทย์ฉีดยาให้กลับบ้าน

วัน รุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไปตรวจใหม่พบปอดติดเชื้อถึง 25% แต่แพทย์ก็ยังไม่สั่งให้นอน รพ.บอกให้กลับบ้าน จนกระทั่งผู้ป่วยรู้ตัวว่าไม่ไหวจึงไป รพ.แห่งที่ 3 และพบว่า เป็นไข้หวัด 2009 แต่ก็สายเกินไป ในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดเมลนี้ ระบุว่า อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของแพทย์ และประชาชน แต่กลับมีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น

กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต

“วันนี้ไปหาหมอตามที่หมอนัด ขึ้น BTS ไป คนก็เยอะเลยต้องยืน สักพักเริ่มหวิวๆเริ่มคลื่นไส้ แล้วโลกก็มืดลง แขนก็เริ่มชา มองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณ 5 นาทีจนถึงสยาม คนลงเยอะก็ตั้งสติ เพ่งเห็นลางๆ ว่าที่นั่งว่าง ไม่ฟังเสียงล่ะครับ(หูอื้อ) คลำๆแล้วนั่งเลย แล้วก็นั่งก้มหน้าแบบสุดๆ โลกเริ่มสว่างขึ้น ทางเดินสายโลหิตเหือดแห้ง มือซีดเหลืองชาๆ แอร์บนรถเย็นมาก แต่เหงื่อยังกับอาบน้ำใหม่ๆ แบกสังขารไปจนถึง พุ่งหาร้านข้าวกินข้าว แล้วก็ไปพบหมอ หมอเจาะเลือดไปตรวจ เอ่อ หมอครับเมื่อวันพฤหัสผมก็เพิ่งโดนเจาะไปครับ แล้วเมื่อกี้ก็หน้ามืดเลือดหมดครับหมอ หมอบอกไม่เป็นไรเอานิดเดียว ผลตรวจเลือดออกมา เกล็ดเลือดปกติ เม็ดเลือดขาวปกติ ไข้เลือดออกไม่เป็น ทำหมองงอีกคนแล้ว เลยถามไปว่าหรือจะเป็น 2009 หมอบอกตัดไปเลย 2009 อาการหลักต้องไอ เจ็บคอ แต่คุณไม่ไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอะไรเลย ตัวร้อนเฉยๆ สรุปก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ นัดให้มาวันจันทร์อีก บอกว่าถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ต้องเรื่องใหญ่กันเลยล่ะ ต้องแอดมิดให้น้ำเกลือ เอาเลือดไปตรวจละเอียด หาธัยรอยด์ หานั่นนู่นนี่ คิดในใจว่านี่ต้องทรมานไปอีก 2 วันหรือนี่ แล้วหมอก็ให้ยาลดไข้มาแค่นั้น”

กระทู้ที่หนุ่มวัย 28 รายนี้ตั้งก่อนเสียชีวิต

วันรุ่งขึ้น “เดย์”โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า ไม่ไหวแล้ว ไปกราบขอหมอนอนรพ.ดีกว่า จะกี่หมื่นกี่แสนก็ยอม เรียก Taxi มารับก่อน เดี๋ยวไปเองหน้ามืดอีก “

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการวินิจฉัยของแพทย์ ตั้งแต่รพ.เอกชนแห่งแรกที่ไปหา แล้วแพทย์ระบุว่าเป็นไข้ติดเชื้อ ให่ยาพราราเซตามอลมากิน สองวันต่อมาไข้ไม่ลด ผู้ป่วยไปหาแพทย์ใหม่อีกครั้ง แพทย์ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตรวจละเอียด ให้พาราเซตามอลมาอีก จนไม่ไหวผู้ป่วยจงนั่งรถไฟฟ้าไปพบแพทย์ตามสิทธิประกันสังคม แพทย์ฉีดยาให้กลับบ้าน

วันรุ่งขึ้นแน่นหน้าอก ไปตรวจใหม่พบปอดติดเชื้อถึง 25 % แต่แพทย์ก็ยังไม่สั่งให้นอนรพ. บอกให้กลับบ้าน จนกระทั่งผู้ป่วยรู้ตัวว่าไม่ไหวจึงไปรพ.แห่งที่ 3 และพบว่าเป็นไข้หวัด 2009 แต่ก็สายเกินไป ในที่สุดผู้ป่วยก็เสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ที่ฟอร์เวิร์ดเมลล์นี้ระบุว่า อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของแพทย์ และประชาชนแต่กลับมีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000098059

นายแพทย์มงคล ณ สงขลา เตือนให้ระวังไข้หวัด2009ระลอก2ช่วงปลายฤดูฝน

ประธานอนุกรรมการควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาไข้หวัด 2009 ระบุ วิกฤติไข้หวัด ระลอก 2 ใน 2 เดือนข้างหน้า ในช่วงฤดูฝน ต่อฤดูหนาว ...

เมื่อช่วงสายของวันนี้ (27 ส.ค.) ที่โรงแรมเฮอมิเทจรีสอร์ท และ สปา อ.เมืองนครราชสีมา นายแพทย์มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ประธานอนุกรรมการควบคุมป้องกัน และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ( H1N1 ) 2009 กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมความร่วมมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของไข้ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฯ ว่า ในขณะนี้สถานการณ์ตามต่างจังหวัดในหลายพื้นที่ปรากฏว่าตัวเลขไปขึ้นในต่าง จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต จ.กาญจนบุรี เพชรบุรี และ ภาคเหนือ

นายแพทย์มงคล กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เริ่มลดลงหรือชะลอลงไป ฉะนั้น จะต้องปูพรหมในทุกพื้นที่ เพื่อจะให้ผู้บริหารในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด ได้เตรียมการป้องกันเรื่องนี้ ตรงนี้ทางทีมงาน สสส. ทีมงาน สปสช. ประกันสุขภาพ และทีมงานกระทรวงฯ ทั้งหลายที่ผนึกกำลังร่วมกันกับทางมหาวิทยาลัยด้วย ที่จะพยายามระดมกันไปตามต่างจังหวัด เพื่อปลุกระดมให้กับทุกฝ่ายได้เอาเอกสาร ข้อมูลต่างๆในการที่จะดำเนินการควบคุมป้องกันเอาไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้ เต็มที่ ถ้าทุกคนร่วมกันไม่ว่าครอบครัว ชุมชน ในตำบล อำเภอ ทำอย่างจริงจัง คิดว่าสิ่งที่เริ่มผงกหัวขึ้นของตัวเลขในต่างจังหวัด คงจะเสมอหรือชะลอไป และในที่สุดคงจะสามารถทำให้ลดลงไปได้ และผ่านพ้นวิกฤติในช่วงหมดหน้าฝนต่อกับหน้าหนาว ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่กลัวมากที่สุดคือ ในช่วงอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ เพราะปกติเชื้อไวรัสจะเป็นในช่วงหน้าหนาว ถ้าสามารถจะผ่านปลายปีนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย

นายแพทย์มงคล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงเปลี่ยนหน้าฝนไปหน้าหนาวประชาชนต้องดูแลตัวเองไม่ไปสัมผัสกับเชื้อ ไม่ว่าน้ำมูก น้ำลาย หรือ เสมหะ หรือเข้าไปอยู่ใกล้กับคนที่เป็นหวัด ตรงนี้ต้องป้องกัน ขณะเดียวกันต้องส่งเสริมสุขภาพของตัวเองให้ดีให้มีภูมิต้านทาน และถ้าใครป่วย ต้องแยกให้ถูกวิธีและชัดเจน และป้องกันกันอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า อัตราผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยทั่วประเทศสะท้อนว่า วิ่งตามปัญหาหรือไม่ นายแพทย์มงคล กล่าวว่า อัตราการป่วย การตาย อย่าเอาเป็นเครื่องชี้วัด ทุกคนต้องเป็นเจ้าภาพในการดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว และดูแลชุมชน โดยเฉพาะ อบต.ที่คิดว่ามีบทบาทที่สำคัญมาก ส่วนการผลิตวัคซีนดำเนินการมากว่า 2 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาสนใจ ตอนที่มีไข้หวัด 2009 ฉะนั้นทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญของประเทศ มีความชำนาญในเรื่องนี้ค่อนข้างพร้อม เพียงแต่คอยเอาเชื้อตัวนี้เข้ามา เพื่อจะใช้ในการทำวัคซีน แต่ความรู้นี้ยังเป็นความรู้ใหม่ การทำวัคซีนอาจจะขัดข้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและองค์การอนามัยโลก กำลังแก้ปัญหาอยู่

นายแพทย์มงคล กล่าวอีกว่า ตนมั่นใจว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า จะได้วัคซีนของเราเอง แต่การที่จะสั่งจองซื้อตรงนั้นตนเรียนว่า จองซื้อเท่านั้น เพราะยังไม่มีที่ไหนผลิตวัคซีนได้ ซึ่งทำเองเอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่เผื่อผิดพลาดได้ไปจองซื้อของคนอื่นไว้ด้วย ถ้าหากว่าของเราเกิดมีปัญหา จะได้ใช้ของคนอื่น หรือถ้าของคนอื่นมีปัญหา ก็ไม่ต้องไปซื้อา เพราะเป็นการจองเท่านั้นเอง เหมือนกับเป็นการซื้ออาวุธสงครามมาเก็บเอาไว้ เพื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ

นายแพทย์มงคล กล่าวด้วยว่า การทดสอบวัคซีนในคน หรือสัตว์ คงจะเป็นไปในระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิม แต่การที่จะเอาออกมาใช้ต้องพยายามผลิตในต้นทุนต่ำกว่านี้ และผลผลิตสูงกว่านี้ ถ้าผลิตได้ต้องให้ครบที่จะใช้กับคนทุกคนได้จะดี แต่ขึ้นอยู่กับผลผลิตว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/29063

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กลุ่มประเทศยากจนหวั่นถูกประเทศพัฒนากว้านซื้อวัคซีนไข้หวัด2009

เอเจนซี - แอฟริกาใต้ไม่มีทางเลือกเว้นแต่ต้องพัฒนาวัคซีนต้านไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของตนเอง รัฐมนตรีสาธารณสุขระบุเมื่อวันพุธ(26) อ้างถึงความกังวลว่าวัคซีนจะไม่เข้าไปถึงกลุ่มประเทศยากจน

"แอฟริกาใต้ได้มาถึงสถานการณ์ที่เราไม่มีทางเลือกเว้นแต่เริ่มต้น พัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนด้วยตนเอง และไม่ใช่แค่เพียงสำหรับเชื้อเอช1เอ็น1 แต่รวมถึงทั่วๆไปด้วย" แอรอน มอตโซอาเลดี รัฐมนตรีสาธารณสุขแอฟริกาใต้บอกกับรัฐสภา

"นี่คือสถานการณ์วุ่นวายของโลก ณ วันนี้...ที่มีความกังวลมาจากรัฐมนตรีสาธารณสุขกัมพูชา ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากกระบวนการผลิตวัคซีน ชาติพัฒนาแล้วอาจต้องการให้วัคซีนครอบคลุมพลเมืองของพวกเขาเป็นอันดับแรก ก่อนคิดถึงชาติกำลังพัฒนา" มอตโซอาเลดี กล่าว

อุตสาหกรรมวัคซีนกำลังเติบโตในแอฟริกาใต้ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าประเทศแห่งนี้ยังไม่มีขีดความสามารถเพียงพอในการผลิต วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ได้ในเร็ววันนี้

องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009เป็นโรค ระบาดเมื่อเดือนมิถุนายน และจนถึงเวลานี้มันได้คร่าชีวิตพลเรือนทั่วโลกไปแล้วอย่างน้อย 1,800 ราย หลังจากแพร่กระจายไปเกือบ 180 ประเทศ ในจำนวนนั้นรวมไปถึง 25 ชาติในทวีปแอฟริกาด้วย

ตัวเลขล่าสุดของสถาบันควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1ในประเทศแล้ว 15 รายและมีผู้ติดเชื้อกว่า 5,000 คน

ทั้งนี้มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้หญิงตั้งครรภ์และเด็กๆ ทั่วโลกแล้วกว่า 182,000 ราย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขผู้ติด เชื้อที่แท้จริงน่าจะเป็นหลายล้านคนเข้าให้แล้ว

แม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่สามารถรักษาหายได้โดยใช้ยาโอเซลทามิเวียร์ แต่มีคำแนะนำให้ใช้วัคซีนสำหรับวิธีป้องกันพลเรือนในวงกว้าง

มอตโซอาเลดี กล่าวว่า "น่าเสียดาย...ที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่มีความสามารถในการผลิตวัคซีนด้วยตนเอง และขณะดียวกัน กระบวนการผลิตทั้งหมดอยู่ในยุโรป อเมริกา รวมไปถึงจีน"

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097599

เชิญชวนคนรุ่นใหม่กินผักผลไม้ต้านภัยไข้หวัด 2009

ตอนนี้คนไทยกำลังกลัว เรื่องไข้หวัด 2009 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ รวมไปถึงสารพัดโรคติดต่อที่มีข่าวอยู่ ทำให้หลายคนถึงกับวิตกกังวลจนชีวิตไม่เป็นสุข ต้องหายามากินป้องกันบ้าง สวมหน้ากากกันเชื้อโรคบ้าง
แต่การป้องกันโรคระบาดต่างๆ ที่ยั่งยืนนั้นคือพยายามทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ เภสัชกร มหาวิทยาลัยมหิดล มีคำแนะนำว่าคุณแม่บ้านและหนุ่มสาววัยทำงานยุคปัจจุบันควรต้องหันมาให้ความสำคัญ ในการเลือกสรรพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่แล้ว นำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อต้านภัยไข้หวัด

“คนไทยเราโชคดีที่สุดที่มีความหลากหลายทางทรัพยากร และภูมิปัญญาของเราเอง ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมาก่อน และร่างกายเราเองก็ไม่รู้จัก ในทางทฤษฏีการแพทย์แผนไทย เน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค การบริโภคพืชผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค**(Anti Occident)** เป็นการป้องกันจากภายในโดยเข้าไปช่วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับเม็ด เลือดขาว”
ความหลากหลายของผักและสมุนไพรพื้นบ้าน ซึ่งคนโบราณมีวิธีแยกความแตกต่างและคุณประโยชน์ จากสี กลิ่น และรสชาติ ทำให้สามารถนำมาใช้ได้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งในช่วงที่เป็นไข้หวัดและไม่เป็นไข้หวัด

จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการ กินของคนไทยจะเลือกพืชผักที่มีสีสวยและกลิ่นหอม สีสดๆ อาทิ หอมแดง จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ชนิดที่มีกลิ่นหอมเท่ากับน้ำมันหอมระเหย ส่วนผักที่มีรสเปรี้ยว ฝาด จะมีกรดวิตามินซีสูง เพิ่มความต้านทานไข้หวัด ในเชิงวิทยาศาสตร์มีสาร **ไพโทนิน** ในพืชผักซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่คนไทยในแต่ละท้องถิ่นเห็นถึงความแตกต่าง และเลือกนำมากินได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี


สำหรับพืชผักที่ควรนำมาบริโภคในช่วงไข้หวัดระบาดนี้ ได้แก่กลุ่มผักมีสี อาทิ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศ มะละกอ กลุ่มที่มีกลิ่นหอม อาทิ หอมแดง กระชาย มะตูม กลุ่มที่มี รสเปรี้ยว อาทิ สมอ มะขามป้อม ส่วนที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง ขมิ้น โหระพา กระเพรา กลุ่มรสฝาด อาทิ สมอไทย สมอพิเภก ชาเขียว สำหรับรสขม สะเดา เพกา(ลิ้นฟ้า) ซึ่งมีวิตามินซีสูงมาก

ส่วนการรับประทานนั้น ควรจะนำมาปรุงเป็นอาหารเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติและช่วยให้รับประทานได้ง่ายมีรส ชาติมากขึ้น เมนูที่ปรุงง่ายและได้ประโยชน์คงไม่พ้น “ยำผักสมุนไพร” หรือ “ผักสด-ผักลวดจิ้มน้ำพริก” ดูจะเป็นอาหารไทย ๆ ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายแถมใช้เวลาในการปรุงไม่มากนัก และรสชาติที่ออกเปรี้ยว-เผ็ด-เค็ม-หวาน น่าจะถูกปากเวลาทาน และถ้าเป็นไปได้ควรพยายามรับประทานผักเหล่านี้ให้ได้ทุกวัน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีสูงต้านไข้หวัดแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันลดมะเร็งซึ่งเป็น ผลดีในระยะยาว

**ข้อมูลจาก งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 2-6 กันยายน 2552 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ที่มา: http://manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097218

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สธ.รณรงค์ใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันหวัด 2009

เวลา 09.00 น. วันนี้ (25 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมานิต นพอมรวดี รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ของโรคอยู่ในช่วงที่เบาบางลง และในภาพรวมประชาชนก็ตื่นตัวรับทราบข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการดูแลตัวเองและป้องกันโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จะต้องดูแลสุขภาวะและอนามัยของคนไทยทั้งประเทศ ด้วย แต่ในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค.นี้ เป็นช่วงที่อากาศอยู่ในสภาวะปลายฝนต้นหนาว จะต้องมีการเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงอากาศเปลี่ยน และในหลายประเทศก็เพิ่มความระมัดระวังเช่นเดียวกัน หากประเทศไทยจะเพิ่มมาตรการป้องกันตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องดี โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์ให้ประชาชนใช้หน้ากากอนามัยที่เป็นผ้าให้มากขึ้น เพราะหน้ากากแบบกระดาษจะทำให้เป็นขยะ และยังมีปัญหาในเรื่องคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กำหนดไว้ เพราะมีบางส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศ.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16164

ไทยได้วัคซีน "หวัด 2009" ล็อตแรกแล้ว

ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (25 ส.ค.) นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแม้การเพาะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในไข่ปลอดเชื้อจากประเทศเยอรมนี จะได้ปริมาณไวรัสน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกบอกว่า อยู่ในระดับที่นำมาทำวัคซีนได้ ดังนั้น ในวันนี้จึงได้มีการบรรจุเชื้อไวรัสที่แช่แข็งลงไปในขวดบรรจุวัคซีน ทำให้ได้วัคซีนล็อตแรก ซึ่งวัคซีนล็อตแรกที่ได้วันนี้จะนำไปทดสอบความปลอดภัยในหนูทดลอง ใช้เวลาประมาณ 10 วันขึ้นไป หากปลอดภัยจะนำไปฉีดให้อาสาสมัคร 24 คน ต่อไป

ผอ.อภ. กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดเชื้อไวรัสในไข่ปลอดเชื้อล็อตที่ 2 นั้น พบว่า หลังจากยืดระยะเวลาฟักตัวอ่อนยาวขึ้น เมื่อเปิดไข่ดูพบว่า ได้ของเหลวในไข่มากขึ้นประมาณ 10 ซีซีต่อฟอง จากเดิมที่ได้เพียง 3-4 ซีซี คาดว่า วันศุกร์ที่ 28 ส.ค.นี้ จะได้ผลการคำนวณปริมาณไวรัสว่า จะได้มากกว่าล็อตแรกหรือไม่ หากได้ 8-9 ล็อกถือว่า เป็นข่าวดี ทั้งนี้ ในส่วนของไข่ไก่ปลอดเชื้อนั้น ได้มีการสั่งนำเข้าจากสหรัฐฯอีก 4,500 ฟอง เพื่อนำมาผลิตวัคซีน.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16276

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วิทยา" เผยเตรียมรับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 หวั่นระลอก2 ระบาด

“วิทยา” เผย 3 เดือนครึ่ง “หวัด 2009” ทำสะบักสะบอม ระบุแม้นายกแพทยสภาจะบอกว่า ไม่น่าจะมีระบาดระลอก 2 แต่จะไม่ประมาท ขณะที่ พ่อ-แม่ หนุ่มวัย 28 ปี ที่เสียชีวิตด้วยอาการคล้าย “หวัด 2009” บุก สธ.วอน “วิทยา” เร่งสอบสวน 2 รพ.เอกชน ช่วยขอเวชระเบียน ส่วนค่ารักษาทั้งสิ้น 2.7 ล้าน ทยอยจ่ายไปแล้วล้านบาท ยอมรับค่ารักษาสูงมาก ขณะที่ “วิทยา” ติดใจวิธีการรักษา สั่ง สบส. สอบหาข้อเท็จจริงด่วน เผยพร้อมจะเจรจาต่อรองค่ารักษาให้ ด้านเกษตรกรชาวร้องกวาง ร้องสื่อสามีแข็งแรงดี รพ.มีจดหมายให้ไปฉีดวัคซีนป้องกัน อ้างว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง แต่กลับถึงบ้านเกิดแน่นหน้าอก ญาติรีบส่ง รพ.แต่เสียชีวิตก่อน หมอบอกไม่เกี่ยวฉีดยา แต่เมียคนตายยืนยันแข็งแรงดี ส่วนที่ นครศรีฯ สังเวยอีกราย ชายวัยเพียง 36 ปี ป่วย 4 วันเสียชีวิต เชื่อปอดมีปัญหาแต่คนไข้ไม่รู้ตัว

ที่ จ.แพร่ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. นางสุจอง ตาเถิง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41 หมู่ 10 บ้านผาหมูเหนือ อ.ร้องกวาง ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายพายัพ ตาเถิง อายุ 47 ปี สามี ได้รับจดหมายจาก รพ.ร้องกวาง พร้อมกับ นายถา หาดทราย และนางอำพิน เหตะ วรางกุล ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ขอให้มาฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัด ทั้งที่สามีตนก็ร่างกายแข็งแรง ยังออกไปทำไร่ตามปกติ แต่ก็เชื่อจึงไปฉีดวัคซีนตามที่ได้รับจดหมาย ส่วนอีก 2 คนไม่ไป หลังฉีดแล้ว พยาบาลให้นั่งพักเพื่อดูอาการ เมื่อไม่แพ้ยาก็ให้กลับบ้านได้ จึงออกไปทำไร่ข้าวโพดตามปกติ แต่เกิดอาการแน่นหน้าอก จึงรีบ พาไปส่ง รพ.ร้องกวาง แต่เสียชีวิตก่อน แพทย์ให้รับศพกลับได้โดยไม่มีการชันสูตรพลิกศพแต่อย่างใด บอกว่าสาเหตุการเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งตนยืนยันว่า สามีแข็งแรงและไม่ได้ป่วย แต่ไปฉีดยาตามหมอนัดแล้วก็ตาย จึงมาร้องเรียนขอความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครศรีธรรมราช ว่าในวันเดียวกันนี้ ที่ รพ.มหาราชนครศรีฯ มีคนไข้เป็นชาย อายุ 36 ปี ชาว จ.นครศรีฯ เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัด 2009 โดย นพ.ปิยะ มงคลวงศ์โรจน์ อายุรแพทย์ เปิดเผยว่า คนไข้มีไข้สูงและหอบค่อนข้างหนัก รักษาที่คลินิกแล้วไม่ดีขึ้นจึงมา รพ. ได้เอกซเรย์ปอดพบมีการติดเชื้อที่ปอดทั้งสองข้าง จึงส่งเสมหะไปตรวจ ทราบผลเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีเชื้อไวรัสไข้หวัด 2009 แต่ได้เสียชีวิตไปเมื่อเช้าวันนี้ ซึ่งค่อนข้างเร็วมากหลังเข้ามารักษาเพียง 4 วันซึ่ง รพ.ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว สันนิษฐานว่า ปอดคนไข้น่าจะมีปัญหามาก่อนโดยที่คนไข้ไม่รู้ตัว

ขณะที่ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว. สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่น่าจะระบาดระลอก 2 ว่า ความเห็นของนักระบาดวิทยาก็ยังบอกว่าอาจจะมีการระบาดระลอก 2 อยู่ในช่วงปลายฝน ต้นหนาว ส่วนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ คือ ศ.นพ.สมศักดิ์ ที่ได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ บอกว่ามันจบแล้ว ก็ไม่รู้จะเชื่อหรือฟังใครดี แต่สิ่งสำคัญคือ กระทรวงสาธารณสุขจะประมาทไม่ได้

“แม้จะมีข้าศึกหรือไม่ แต่ก็เตรียมกำลังให้พร้อม และมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ต่อไป เพราะในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ผมสะบัก สะบอมไปทั้งตัว ดังนั้นไม่ว่าจะมีการระบาดระลอกที่ 2 หรือไม่ ก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เพราะหากไม่เตรียมพร้อมเดี๋ยวจะโดนหนักอีก” นายวิทยา กล่าว

ต่อมาช่วงบ่าย นายธวัชสิทธิ์ และนางธัญญพัฒน์ ตวงสินกุลบดี พ่อแม่ของ นายพีรวีร์ ตวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ผู้เสียชีวิตด้วยอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เสียค่าใช้จ่ายไปกว่า 3 ล้านบาทจากการรักษา รพ.เอกชน 3 แห่ง พร้อมด้วย นายปรวุฒิ และนางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล น้าชายและน้าสะใภ้ ได้เข้าพบ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว. สาธารณสุข เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีการเสียชีวิตของนายพีรวีร์ เนื่องจากขอเวชระเบียนของโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งแต่ถูกบ่ายเบี่ยง ส่วนค่ารักษาที่ รพ.แห่งที่ 3 จำนวนเงินทั้งสิ้น 2.7 ล้านบาท ได้ทยอยจ่ายไปแล้วล้านบาทเศษ แม้ไม่ติดใจแต่ก็คิดว่าค่อนข้างสูง

ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแลกองการประกอบโรคศิลปะ รายงานความคืบหน้าการตรวจสอบให้ทราบในวันที่ 25 ส.ค. ภายหลังจากที่ตนได้สั่งการให้เข้าไปดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 2.7 ล้าน บาทในโรงพยาบาลแห่งที่ 3 นั้นตนได้ฝาก สบส. เข้าไปดูแลช่วยเจรจาให้ลดลงแล้ว.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=16098

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาธารณสุขรัษฎา ตรัง อบรมอส.รณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 อย่างต่อเนื่อง

อบรมอส.รณรงค์ป้องกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม สาธารณสุขตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง นายดำรงค์ แจ้งไข สาธารณสุขอำเภอรัษฎา พร้อมด้วย นายมนัส ชูเกียรติ หัวหน้าสถานีอนามัยตำบลคลองปาง ได้อบรมให้ความรู้ การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และโรคระบาดอื่นในพื้นที่ อาทิ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย โรคไข้เลือดออก เป็นต้น สำหรับการป้องกันในพื้นที่นั้นอาสาสมัครหมู่บ้านถือเป็นบุคคลสำคัญในการเข้า ไปสร้างความรู้ความเข้าใจโรคแก่ประชาชน โดยอาสาสมัครทุกคนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค และนำไปถ่ายทอดต่อประชาชนในหมู่บ้านชุมชนทำให้ประชาชนมีความเข้าใจ ตื่นตัวในการดูแลตนเองตระหนักในการป้องกันโรค ส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในพื้นที่อำเภอรัษฎา ไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งในทุกวันศุกร์ประชาชนต่างร่วมมือกันกำจัดลูกน้ำยุงลายอย่างจริงจังและ ต่อเนื่องตลอดมา นอกจากนี้ทางสาธารณสุขอำเภอรัษฎา ยังได้แจกปรอทวัดไข้แก่อาสาสมัครหมู่บ้านและครูประจำชั้นในโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อเป็นหน่วยคัดกรองเบื้องต้น พร้อมกับแจกหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนเย็บหน้ากากอนามัยใช้เอง เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้แก่ประชาชน

นายดำรงค์ แจ้งไข สาธารณสุขอำเภอรัษฎา ยังกล่าวต่อไปว่า จากการรณรงค์การป้องกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาในพื้นที่อำเภอรัษฎาไม่พบผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย และช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่มีประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก จนทำให้อำเภอรัษฎาได้รับรางวัลอำเภอแข็งแรง ในระดับเขตภาคใต้ ตามยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง.

ที่มา: http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=15825

องค์การอนามัยโลกหรือฮูเตือนให้รับมือไข้หวัดใหญ่2009ระลอก2

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า วันนี้ (23 ส.ค.) องค์การอนามัยโลก หรือฮู เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลก เตรียมรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระลอก 2 ขณะที่ ขั้วโลกเหนือที่มีประชากรหนาแน่น ก็ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้การระบาดของโรคง่ายและรุนแรงยิ่งขึ้น นางมาร์กาเรต ชาน ผู้อำนวยการฮู เตือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ เคยมีโรคที่ระบาดรอบ 2 และ 3 มาแล้ว เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่า การระบาดที่รุนแรงที่สุดสิ้นสุดไปหรือยัง หรือว่า การระบาดของโรคจะกลับมาอีกหรือไม่ เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน.

ที่มา : http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=5&contentID=15772

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พบผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 รายแรกของกรีซ

เอเอฟพี - ทางการกรีซยืนยันผู้เสียชีวิตรายแรกจากไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ในประเทศ โดยเหยื่อเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจวัย 23 ปี ซึ่งติดเชื้อไวรัสชนิดดังกล่าวจากโรงพยาบาลในกรุงเอเธนส์

ในคำแถลงล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งของโรงพยาบาลโอนาสซิโอ ซึ่งมีอาการโรคหัวใจร้ายแรง ติดเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช1เอ็น1 เมื่อสองวันที่ผ่านมา

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงสาธารณสุขของกรีซเคยประกาศกร้าวว่า ประชากรทั้ง 11 ล้านคนในกรีซจะต้องฉีดวัคซีนต้านหวัด 2009 "อย่างไม่มีเงื่อนไข" แต่ผ่อนปรนในภายหลังว่า การฉีดวัคซีนจะเป็นไปตามความสมัครใจ

กรีซพบผู้ติดเชื้อหวัด 2009 มากกว่า 1,4000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระทรวงสาธารณสุขแถลง

ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095914

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพร 9 ชนิดตำรับ "หลวงปู่ทวด" รักษาโรคหวัดตามฤดูกาลได้ แต่ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ 2009

อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ การันตีสมุนไพร 9 ชนิด ตำรับหลวงปู่ทวด ปลอดภัย มีสรรพคุณรักษาโรคหวัดตามฤดูกาลได้ แต่ไม่พบยาตำรับแผนไทยรักษาหวัด 2009 แทนยาโอเซลทามิเวียร์
วันนี้ (20 ส.ค.) นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงกรณียาสมุนไพรตำรับหลวงปู่ทวด ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เป็นยาต้มมีสมุนไพรไทย 9 ชนิด ว่า ขณะนี้ยังไม่มียาตำรับแพทย์แผนไทยชนิดใดรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แทนยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ หรือซานามิเวียร์ได้ แม้แต่สมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร ก็มีสรรพคุณป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยังนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่า สูตรยาสมุนไพรไทยดังกล่าวมีความปลอดภัย แต่ยังไม่มีรายงานผลการวิจัยทางการแพทย์รองรับอย่างเป็นทางการว่าจะต้องรับ ประทานในปริมาณเท่าใดจึงจะป้องกันไข้หวัดได้

“สมุนไพร สูตรยาต้มดังกล่าวมีส่วนผสมหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยลดไข้ และเป็นสมุนไพรที่พบได้ในครัวเรือนเพียงเช่น ฟ้าทะลายโจร ลูกใต้ใบ ขมิ้นชัน ตะไคร้ ใบมะรุม หัวไพล ลูกมะตูม ลูกมะขามป้อม ส่วนอิฐมอญ ที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าทานแล้วอันตรายต่อสุขภาพนั้น ในตำรับสมุนไพรไทยโบราณถือเป็นยาธาตุเย็น ช่วยลดไข้ได้ นอกจากนี้ ในสมุนไพรไทยโบราณมักนิยมนำมูลสัตว์ เช่น ชะมดเช็ด มาปรุงยาซึ่งสรรพคุณของดินในแพทย์แผนไทย ถือเป็นยา แก้อาการไข้ได้” นพ.นรา กล่าว

ที่มา: http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094996

"วัคซีนเชื้อเป็น" สำหรับไข้หวัดใหญ่ 2009 ความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง

ในขณะที่หลายคนกังวลว่า ไทยจะผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ไม่ทันความต้องการ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องจับตานอกเหนือจากนั้น นั่นคือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้วัคซีน "เชื้อเป็น" ที่ยังไม่ชัดเจนว่าก่อความรุนแรงต่อผู้รับวัคซีนหรือทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงพันธุกรรมในไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือไม่ และมีเพียง สหรัฐฯ และรัสเซียที่ทำก่อน ส่วนไทยเพิ่งจะเริ่มศึกษาไปพร้อมๆ กับอินเดีย
รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าว ระหว่างการเสวนา "แผนการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ระดับโรงงานขนาดใหญ่" ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ณ อาคาร สวทช. (ถนนโยธี) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 20 ส.ค.52 ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์เข้าร่วมฟังด้วยว่า วัคซีน ไข้หวัดใหญ่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นผลิตมา "เชื้อตาย" (Inactivated vaccine) ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมกำลังผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จาก "เชื้อเป็น" (Live attenuated vaccine) ของไวรัส

การผลิตวัคซีนจากไวรัสเชื้อเป็นนั้น รศ.นพ.ประสิทธิ์ อธิบายคร่าวๆ ว่าเป็นการทำให้เชื้อไวรัสอ่อนแรง แล้วให้เข้าไปเจริญเติบโตในร่างกายได้ แต่อ่อนแอเกินกว่าจะเกิดโรคและทำอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งข้อ แตกต่างระหว่างการใช้เชื้อเป็นและเชื้อตาย คือถ้าใช้วัคซีนเชื้อตายจะต้องฉีดให้แก่ผู้รับในปริมาณมาก ขณะวัคซีนเชื้อเป็นจะฉีดให้ผู้รับในปริมาณที่น้อยกว่า

ดังนั้น เมื่อเกิดการระบาดจึงเลือกใช้ "เชื้อเป็น" เพื่อผลิตวัคซีน แต่ปัญหาคือวัคซีนจากเชื้อเป็น จะใช้ได้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดีและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีมีผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่นผู้ที่ผ่านการทำเคมีบำบัด ป่วยเรื้อรัง ที่อาจเกิดอาการไม่ดีเมื่อวัคซีนได้

สำหรับเชื้อเป็น ของไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น ถูกทำให้อ่อนแรงโดยนำไปแช่ที่อุณหภูมิต่ำ ทำให้เจริญเติบโตได้ไม่ดี แต่ยังไม่ตาย ซึ่ง ภก.สิทธิ์ ถิระภาคภูมิอนันต์ ผู้อำนวยการกองผลิตวัคซีนจากไวรัส องค์การเภสัชกรรม (อภ.) อธิบายว่า เชื้อไวรัสตั้งต้นสำหรับผลิตวัคซีน จะเติบโตที่อุณหภูมิ 32-33 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเจริญเติบโตได้ที่ทางเดินหายใจตอนต้น แต่จะอยู่ไม่ได้ที่อุณหภูมิตั้งแต่ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป

ทั้งนี้ ข้อควรระวังในการใช้วัคซีนจากเชื้อเป็นคือ ไม่ใช้กับผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คนท้อง ผู้ป่วยหอบหืด ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ และใช้ในเด็กได้ตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป

ทั้งนี้มีประเทศที่ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเชื้อเป็นอยู่แล้วคือสหรัฐฯ และรัสเซีย ส่วนประเทศที่กำลังศึกษาคือไทยและอินเดีย โดยไทยนำเข้าเชื้อไวรัสอ่อนแรงจากรัสเซีย ซึ่งมีการทดสอบว่าใช้ได้ในเด็ก และการทดสอบวัคซีนต้องแน่ใจได้ว่า เชื้อจะไม่เติบโตได้ที่อุณภูมิสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส พันธุกรรมของเชื้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และมีการทดสอบตามข้อกำหนดก่อนนำออกไปใช้
อย่างไรก็ดี ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสู่คน ซึ่งเข้าร่วมเสวนาด้วยนั้น ได้กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ถึงประเด็นที่ควรต้องจับตามองต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ 2009 จากเชื้อเป็นว่า ยัง ไม่เคยมีประเทศใดใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเชื้อเป็น ทั้งนี้ต้องตั้งคำถามว่ามีประเทศไหนบ้าง ที่ใช้วัคซีนจากเชื้อเป็น เพื่อความอุ่นใจ ซึ่งหากมีประเทศที่ทำได้แล้ว เราจะได้สอบถามได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

อีกทั้งเชื้ออ่อนกำลังที่นำมาจากรัสเซียนั้น ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนในสัตว์ทดลองว่าสร้างภูมิคุ้มกันได้ทั้งในระดับเซลล์ และในภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือไม่ แล้วใช้สัตว์ในการทดลองไปกี่ตัว เมื่อทดลองฉีดเชื้อในสัตว์แล้วยังมีไวรัสปล่อยออกมาจากสัตว์ได้กี่วัน ซึ่งประเด็นหลังนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้ยกตัวอย่างกรณีให้วัคซีนโปลิโอทางปากแก่เด็กแล้ว ได้ไวรัสที่มีพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปออกมาทางอุจจาระของเด็ก และพ่อซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเด็กแล้วได้รับเชื้อดังกล่าวไปกลายเป็นอัมพาต

อีกตัวอย่างคือกรณีไข้หวัดใหญ่หมูที่ระบาดเมื่อปี ค.ศ. 1976 นั้น สหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนให้กับประชากร และภายหลังจากนั้น 6 สัปดาห์เกิดพบผู้มีอาการแขนขาอ่อนแรงและเส้นประสาทอักเสบ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีเชื้อปนเปื้อนจากขั้นตอนการผลิตวัคซีนในไข่ที่มีเชื้อ ปนเปื้อนอยู่ โดยวัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันวิกฤตที่ทำลายเส้นประสาทตัวเอง ซึ่งการใช้วัคซีนกับประชากร 6-7 พันคนไม่พบอาการดังกล่าว แต่พบเมื่อใช้วัคซีนกับประชากร 40-45 ล้านคน

" สิ่งที่คาดเดาไม่ได้คือในไวรัสของวัคซีนนั้นทำให้เกิดภูมิคุ้มกันวิกฤตขึ้น หรือไม่ แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับในกรณีของการระบาดขึ้นมา" ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวถึงความเสี่ยงจากการใช้วัคซีนเชื้อเป็นที่เราต้องยอมรับ ซึ่งต่างจากวัคซีนเชื้อตายที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่กำลังการผลิตจะไม่ทันต่อการระบาด

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดของวัคซีนเชื้อเป็นตรงที่ใช้ได้กับผู้ที่มี อายุระหว่าง 2-49 ปีเท่านั้น ขณะที่เด็กและคนชราเป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีน แต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะใช้วัคซีนเชื้อเป็น.

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095023