ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รพ.จุฬาฯรับตัวหญิงติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้วแต่อาการยังน่าเป็นห่วง

รพ.จุฬาฯ รับหญิงป่วยหวัด 2009 จากราชบุรีรักษาต่อ ขณะนี้อยู่ในห้องไอซียู เบื้องต้นอาการยังน่าห่วง ด้านมาตรการจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ในคลินิกเริ่มนำร่องแล้ววันนี้ที่ จ.ราชบุรี..

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีหญิงสาววัย 26 ปีจาก จ.ราชบุรี ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะที่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนเศษ เข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา แพทย์จึงต้องผ่าตัดเอาเด็กออก เมื่อวันที่ 23 ก.ค. เพราะเกรงว่าจะติดเชื้อและอาจเป็นอันตรายนั้น

ล่าสุด เมื่อกลางดึกวานนี้ (24 ก.ค.) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ ได้รับประสานงานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ส่งตัวหญิงสาวคนดังกล่าวจาก จ.ราชบุรี มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว โดย รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ กล่าวว่า อาการแม่เด็ก ล่าสุดอาการยังน่าเป็นห่วงพักรักษาตัวในห้องไอซียู รักษาตามอาการ เบื้องต้นมีอาการทางปอด ต้องรอดูอาการอีกประมาณ 1-2 วัน

ด้านนาย มานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ได้มอบหมายหมายให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นผู้รักษา เบื้องต้นได้รับรายงานจากโรงพยาบาลว่าคนไข้รักษาอยู่ในห้องไอซียูและอาการ ยังทรงตัวต้องรอดูอาการอีกประมาณ 1-2 วัน

ส่วนมาตรการที่จะให้ คลินิกทั้ง 17,000 แห่งทั่วประเทศสามารถจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ให้กับคนไข้นั้น นายมานิต กล่าวว่า จะเริ่มในวันนี้ (25 ก.ค.) โดยนำร่องที่ จ.ราชบุรี เป็นแห่งแรก ซึ่งจะให้คลินิกละ 5 ชุด หรือ 50 เม็ดสามารถไปรับได้ที่โรงพยาบาลอำเภอ และหากมีผู้ป่วยต้องการใช้ยาเป็นจำนวนมากทำให้ยาไม่เพียงพอก็สามารถไปรับ เพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลอำเภอทันที โดยทางคลินิกต้องรักษาตามแนวทางของกระทรวงฯ อย่างเข้มข้น และหลังจากจ่ายยาให้กับคนไข้ต้องทำประวัติคนไข้อย่างละเอียด มีที่อยู่พร้อมเบอร์ติดต่อ และทำบันทึกหลังจากการจ่ายยาทุกวันว่าลักษณะอาการเป็นอย่างไร ส่วนค่ารักษาได้กำชับให้ทุกคลินิกคิดค่ายาตามราคาต้นทุนที่เม็ดละ 25 บาท และหากคนไข้ที่มารักษามีเงินไม่เพียงพอก็ขอแพทย์ให้รักษาให้ฟรี หลังจากที่ได้เริ่มนำร่องที่ราชบุรี จะขอรอดูผลการดำเนินงานประมาณ 7 วัน เพื่อนำมาประเมินข้อดีข้อเสียเพื่อนำมาเป็นแนวทางที่จะนำไปใช้กับคลินิกทั่ว ประเทศ

http://www.thairath.co.th/content/special/21982

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังน่าเป็นห่วง สาวท้องติดหวัด ผ่าตัดเด็กออก หนุ่มบางปะกงดับอีก

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังน่าเป็นห่วง ล่าสุด หนุ่มวัย 30 ปีที่ จ.ฉะเชิงเทรา เสียชีวิตหลังเข้า รพ. 1 วัน ส่วนที่ราชบุรี สาวท้อง 7 เดือนติดหวัดต้องผ่าเอาลูกออก แต่อาการหนักทั้งคู่ต้องอยู่ในห้องไอซียู...



วันนี้ (24 ก.ค.) นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศว่า ล่าสุด ได้ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี หลังจากทราบว่ามีหญิงสาวท้องแก่ 7 เดือน ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จนแพทย์ต้องผ่าตัดเอาเด็กออกเพื่อช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นทราบว่า หญิงสาวคนดังกล่าวอายุ 26 ปี น้ำหนัก 115 กิโลกรัม เข้ารับการรักษาอาการติดเชื้อหวัดตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. และแพทย์เพิ่งผ่าตัดเอาเด็กออกมาเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา เด็กอายุครรภ์ 7 เดือนเศษ น้ำหนัก 1500 กรัม เพศหญิง

นายมานิต กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบยืนยันว่า ทั้งแม่และลูกติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ต้องอยู่ในห้องไอซียูทั้งคู่ โดยแม่อาการทรุดหนัก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่วนลูกแพทย์ได้ให้ยาแอนตี้ไวรัส โอเซลทามิเวียร์ พร้อมกับเก็บตัวอย่างส่งตรวจให้แล็บที่กรุงเทพฯ เพื่อยืนยันอีกครั้ง แต่ขณะนี้ทั้งคู่อยู่ในความดูแลของ ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี แพทย์โรงพยาบาลศิริราช และเป็นนายกสมาคมโรคติดต่อแห่งประเทศไทย และ พ.ญ.ศรีวรรณา พูลสรรพสิทธิ์ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข ดูแลอย่างใกล้ชิด

นายมานิต กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในพื้นที่ จ.ราชบุรี นั้น มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 7 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งผู้เสียชีวิตจากประวัติพบว่าส่วนใหญ่จะไปที่คลินิกก่อน 2-3 วัน หลังจากนั้นจึงมาที่โรงพยาบาล ทำให้การรักษาช้าไป จึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังนั้น จึงขอแนะนำว่าหากผู้ป่วยที่ไม่มีโรคประจำตัวเมื่อเป็นหวัดเบื้องต้นให้กินยา พาราเซตามอลก่อนภายใน 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นไข้ไม่ลด มีอาการปวดเมื่อย เหนื่อยหอบ ให้รีบไปโรงพยาบาล แต่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวให้ไปโรงพยาบาลตรวจทันที อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ให้ จ.ราชบุรี เป็นจังหวัดนำร่อง กรณีทางกระทรวงสาธารณสุขจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ ต้านไข้หวัดให้กับคลินิกทุกแห่งเพื่อรักษาผู้ป่วย จะได้ไม่แออัดโรงพยาบาล และให้คลินิกนั้นเก็บประวัติผู้ป่วยไว้เพื่อทำรายงาน หากโครงการนี้เกิดผลดีจะทำต่อในทุกจังหวัด ดังนั้นผู้ป่วยเป็นหวัดสามารถไปที่คลินิกได้เลย

วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา นพ.ทวีเกียรติ บุญยไพศาล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 3 ได้เดินทางมาตรวจติดตามความคืบหน้าการเฝ้าระวังและร่วมกันวางมาตรการ หลังมีผู้ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เสียชีวิตลงหลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบางปะกงพียง 1 วัน โดยชายที่เสียชีวิต พิการมาแต่กำเนิดอายุประมาณ 30 ปี มาตรการของจังหวัดฯ การไม่ให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ได้มีการเฝ้าระวัง ให้มีการรักษาพยาบาลที่เข้มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหญิงมีครรภ์ กลุ่มโรคอ้วน เรื้อรัง คนแก่คนชรา พิจารณาการจ่ายยาต้านไวรัสให้ก่อน รวมทั้งซ้อมแผนการระบาดไข้หวัดใหญ่รุนแรงด้วย

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/21800

"อัมมาร" จวกรัฐบาลแก้โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผิดทาง ทำคนตื่นกลัว

ชี้ในอนาคตหากสังคมไทยยังแตกตื่นเกี่ยวกับโรคนี้จนเกินไป อาจจะมีผลกระทบรุนแรง ขณะที่ มท.จับมือ สปสช. ทุ่มงบ 2พันล้าน ตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาหวัด 09 ให้อปท.-อบต.อบจ. ...

นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าววันนี้ (23 ก.ค.) ภายหลังบรรยายพิเศษเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ” จัดโดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า การแก้โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของรัฐบาลผิดทางเพราะมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจนทำให้เกิดความตระหนกแตกตื่นในหมู่ ประชาชนมากเกินไป ซึ่งที่จริงแล้วรัฐบาลควรที่จะเน้นเรื่องของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เชื้อโรคชีวภาพตัวนี้ ว่า

1.เป็นเชื้อโรคที่แพร่ง่าย
2.ไม่เป็นอันตรายรุนแรงหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

แต่ที่ผ่านมาการรายงานตัวเลขผ่านสื่อตลอดเวลา ทำให้ประชาชนตื่นกลัว ตะหนก เกิดความหวาดกลัวในสังคมอาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้

นายอัมมาร กล่าวว่า แม้จะไม่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากนัก อาจจะมีเพียงแค่ตัวเลของนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่ในอนาคตหากสังคมไทยยังแตกตื่นเกี่ยวกับโรคนี้จนเกินไปก็อาจจะมีผลกระทบ รุนแรงได้

“สิ่งสำคัญตอนนี้คิดว่ารัฐบาลควรจะเน้นเการป้องกัน และให้ความรู้กับประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการแพร่เชื้อโรคในที่มีความแออัดของผู้คน เช่นโรงเรียนกวดวิชา สถานที่สาธารณะที่เป็นห้องแอร์ ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก แทนการรายงานตัวเลขที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาเพราะที่จริงแล้วทุกๆ ประเทศก็มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเหมือนกัน แม้จะยอมรับว่ารัฐบาลทำไปตามหน้าที่แล้วแต่มองดูแล้วก็เห็นว่ายังไม่โปร่งใส ไม่ชัดเจน ไม่เคลียร์ในเรื่องการดูแลโรคไข้หวัดชนิดนี้” นายอัมมาร กล่าว

ด้าน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังหารือร่วมกับ นพ.มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ประธานคณะกรรมการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 (สสส.) ว่า กระทรวงมหาดไทยร่วมมือกับ สสส. ในการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ทั้ง องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณจากกองทุนสุขภาพชุมชน ที่ร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จำนวน 2,000 ล้านบาท

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/21529

"ฟ้าทลายโจร" สุดยอดสมุนไพรแห่งปี 2009

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสภาวะการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1เอ็น1 บ้านเราก็หลีกหนีไม่พ้นเช่นกัน สังเกตได้จากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าโรคได้กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน - 21 กรกฎาคม 2552 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งหมด 6,776 ราย เสียชีวิต 44 ราย



ด้วยเหตุนี้เราจึงควรรับประทานอาหารที่สามารถ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ สมุนไพร"ฟ้าทะลายโจร"จึงถูกพูดถึงมากที่สุด เนื่องจากเป็นยาที่มีความหมายในตัวเองไม่น้อย เพราะแม้แต่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าฟ้าประทานมาให้ปราบโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือน เหล่า โจรร้าย ส่วนในภาษาจีนกลาง ยาตัวนี้มีชื่ออย่างเพราะพริ้งว่า "ชวนซิเหลียน" แปลว่า "ดอกบัวอยู่ในหัวใจ" ซึ่งมีความหมายสูงส่งมาก วงการ แพทย์จีนได้ยก ฟ้าทะลายโจรขึ้นทำเนียบ เป็นยาตำราหลวงที่มีสรรพคุณโดดเด่นมากตัวหนึ่ง ที่สำคัญคือสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวเพียงตัวเดียวก็มี ฤทธิ์แรงพอ ที่จะรักษาโรคได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในสมุนไพรตัวอื่น

สมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร้อนในบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทานอ่อนลง การรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะช่วย กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย ร้อนในจะหายไป และสมุนไพรฟ้าทะลายโจรดีกว่ายาปฏิชีวนะ ตรงที่ไม่เกิดการง่วงนอน ไม่เกิดการดื้อยา และยัง ป้องกันตับ จากสารพิษหลายชนิด เช่น จากยาแก้ไข้พาราเซตามอล หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม



ขณะ ที่ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อดีตอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะวิธีรักษาไข้หวัดด้วยแพทย์แผนไทย ใช้สมุนไพร"ฟ้าทะลายโจร"ยาเก่าแก่ของประเทศจีน ซึ่งการวิจัยด้านเภสัชวิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถเพิ่มภูมิต้านทาน ลดไข้ และลดการอักเสบ ช่วยให้จมูกโล่ง น้ำมูกลดหรือแห้ง โดยไม่เกิดอาการง่วงซึม แต่มีข้อควรระวังถ้าปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าอาจแพ้ให้หยุด และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็นอาจทำให้มือเท้าชาหรืออ่อนแรง

หมอวิชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้โรคไข้หวัดกำลังระบาดในประเทศไทย ลักษณะของการระบาดบ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีการ กลายพันธุ์บางส่วน จากสายพันธุ์เดิมตามธรรมชาติของเชื้อโรค ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย น้ำมูกไหล มีเสมหะ ไอ คันคอ แสบคอ ข้อสำคัญอาการมักยืดเยื้อ แทนที่จะเป็นแล้วหายในเวลา 2-3 วัน มักจะเป็นนาน 1-2 สัปดาห์ บางรายอาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ หรือบางรายที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ในคนสูงอายุ เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันอาจถึงขั้นปอดบวมได้

อดีตอธิบดีกรมแพทย์ แผนไทยฯ กล่าวว่า การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันโดยทั่วไปเป็นเพียงการรักษาตามอาการซึ่งมักมี อาการข้างเคียง เช่น ยาลดน้ำมูก ทำให้ง่วง และเสมหะเหนียว บางรายทำให้ไอมากขึ้นและไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ขณะที่ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบันมีราคาแพงมาก ฤทธิ์ข้างเคียงสูงและมักไม่ได้ผลกับไข้หวัด โดยทั่วไปจึงไม่มีการใช้ จึงขอแนะให้ใช้การแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกสำหรับประชาชน

"ยาสมุนไพร ที่ใช้ได้ผลดี คือ ฟ้าทะลายโจรขนาด 2 แคปซูลวันละ 3-4 ครั้งหรืออาจใช้ตามตำรับดั้งเดิมคือ กรณีเป็นต้นสดใช้ยอดเคี้ยวสด ๆ ครั้งละ 4-5 ใบ วันละ 3-4 ครั้ง กรณีเป็นต้นแห้งให้ใช้ทุกส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือดินประมาณ 3 กรัม หรือ 1 กำมือโหย่ง ๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้นจนเดือด ดื่มครั้งละ 2 ถ้วยชาหรือประมาณครึ่งแก้ว (125 ซีซี) วันละ 3-4 ครั้งถ้าน้ำแห้งให้เติมน้ำเพิ่มได้เล็กน้อย แต่ไม่ต้องใส่ยาเพิ่มในวันเดียวกัน วันต่อไปหากอาการยังไม่ดีขึ้นให้รับประทานเพิ่มได้โดยวิธีเดียวกัน"หมอวิชัย กล่าว



ประธาน คณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม กล่าวอีกว่า ฟ้าทะลายโจรมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ได้ผลดีต่อโรคหวัดมาก โดยมีฤทธิ์เพิ่มภูมิต้านทาน ลดไข้ และลดการอักเสบ ช่วยให้จมูกโล่ง น้ำมูกลดหรือแห้ง โดยไม่เกิดอาการง่วงซึมและช่วยลดไข้และลดอาการเจ็บคอ ระคายคอได้ด้วย ทั้งนี้มีข้อควรระวังคือ ถ้ารับประทานฟ้าทะลายโจรแล้วปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าอาจแพ้ยา ให้หยุดยา และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็นอาจทำให้มือเท้าชาหรืออ่อนแรงได้

นอกจาก นี้ หมอวิชัย ยังแนะนำให้รักษาร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ สำหรับสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การดื่มของเย็น ควรงดรับประทานของมัน ๆ และของหวาน ๆ เพราะทำให้เสมหะเพิ่มและทำให้ไอมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปการดูแลรักษาตนเองตามวิธีดังกล่าวข้างต้น อาการจะดีขึ้นในเวลาเพียง 1-2 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน โดยเฉพาะหากไข้ไม่ลด ไอ เจ็บคอมากขึ้น เสมหะข้นเหนียวและมีสีเหลืองหรือสีเขียวควรไปพบแพทย์

"ฟ้าทะลายโจร" เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันมากในภาคพื้นเอเซีย ทั้งจีน ฮ่องกง และอินเดีย ส่วนในประเทศจีนนั้นได้สกัดออกมาเป็นยาซึ่งมีหลายรูปแบบ ถ้าเป็นยาฉีดก็มีชื่อว่าYamdepieng, Chuanxinlian Ruangas Injection และเป็นยาเม็ดก็มีชื่อว่า Chuanxinlian Antiphologistic Pill, Chuanxinlian Tablets, Kang Yan Tablets ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นตั้งตรงส่วนปลายกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม จะแตกกิ่งก้านออกเฉพาะด้านข้างเท่านั้น กิ่งก้านมีสีเขียวและจะสูงประมาณ 1-2 ฟุต ออกใบเดี่ยว ใบแคบตรงปลายและโคนใบแหลม ผิวใบเป็นมันมีสีเขียว ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบ และส่วนยอดของต้น ดอกเป็นหลอด ปลายดอกแยกออกเป็น 5 กลีบสีขาว หรืออมม่วงอ่อนๆ ดอกจะแบ่งออกเป็น 2 ปาก ที่ปากบนแยกออกเป็น 3 กลีบล่าง 2 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ผลคล้ายกับผลของต้นต้อยติ่ง แต่มีขนาดเล็กและสั้นกว่า ผลนี้จะตั้งมุมก้านดอก เมื่อผลแก่เต็มที่ก็แตกออกเป็นสองซีกทำให้มองเห็นเมล็ดภายในสีน้ำตาลแบน ๆ มีอยู่จำนวนมาก การขยายพันธุ์ เป็นไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด และจะปลูกได้ทุกฤดูกาลด้วยขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด



ขณะ ที่สรรพคุณ ช่วยแก้บิดชนิดติดเชื้อ แก้ทางเดินอาหารอักเสบ แก้หวัด แก้ทอนซิล แก้ปอดอักเสบ และแก้อาการท้องเดิน โดยใช้ต้นแห้งประมาณ 1-3 กำมือเอามาหั่น แล้วต้มกับน้ำดื่ม ส่วนเป็นยาแก้ไข้นั้นให้ใช้ครั้งละ 1 กำมือ ต้มกับน้ำดื่มเวลามีอาการ หรือก่อนอาหารเช้าเย็นและถ้าเป็นโรคภายนอก ส่วนใบ ช่วยรักษาแผลน้ำร้อนลวก แก้ไฟไหม้ โดยการนำมาบดผสมกับน้ำมันพืชใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นแผล

วิธีและปริมาณ ที่ใช้ ถ้าใช้แก้ไข้เป็นหวัด ปวดหัวตัวร้อน ใช้ใบและกิ่ง 1 กำมือ (แห้งหนัก 3 กรัม สดหนัก 25 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ ถ้าใช้แก้ท้องเสีย ท้องเดิน เป็นบิดมีไข้ ใช้ทั้งต้นหรือส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร ผึ่งลมให้แห้ง หั่นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 กำมือ (หนักประมาณ 3-9 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่มตลอดวัน บางคนรับประทาน ยาฟ้าทะลายโจร จะเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวดเอว เวียนหัว แสดงว่าแพ้ยา ให้หยุดยา และเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือลดขนาดรับประทานลง.

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/edu/21721