ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รู้จักเชื้อร้าย-สารพัดเทคนิควิธีสู้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ในงานมหกรรมวิทย์

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำเอาหลายคนหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะเกรงว่าร่างกายเราจะสู้กับมันไม่ได้ แต่หากเราทำความรู้จักกับเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเอาชนะมันได้มากขึ้น ไบโอเทคจึงรับหน้าที่สกัดดีเอ็นเอของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ แล้วนำมาให้ดูกันจะจะในงานมหกรรมวิทย์

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) นำนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มาจัดแสดงให้ชมกันภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2552 โดยอยู่ในบริเวณโซนของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร

เริ่มต้นจากทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งมันคือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ เอช1เอ็น1 (Influenza A H1N1) สายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เหมือนกับ H1N1 ที่เคยปรากฏแล้วก่อนหน้านี้ เพราะเจ้าเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีบรรพบุรุษหลายสายพันธุ์ โดยสาร พันธุกรรมของมันที่ประกอบด้วยอาร์เอ็นเอ 8 เส้น ที่มาจากเชื้อไวรัสในหมู ในนก และในคน ทำให้มันมีหน้าตาไม่เหมือนกับเชื้อไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในคน จึงเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะต้องหาวิธีปราบเชื้อร้ายตัวใหม่นี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ด้วยยา ก็ต้องเอาให้อยู่หมัดด้วยวัคซีน

แม้ว่ายาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังใช้ได้ดีกับ เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้อยู่ก็ตาม แต่เชื้อก็มีโอกาสกลายพันธุ์จนดื้อยาได้ นักวิทยาศาสตร์จึงทำงานกันอย่างหนักเพื่อพัฒนาวัคซีนที่สามารถสยบเชื้อไวรัส ชนิดนี้ให้ได้ ซึ่งหลักการของวัคซีนก็คือไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายมีโอกาสทำความรู้จักกับเชื้อโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อนในปริมาณน้อยๆ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าจะรับมืออย่างไรหากได้เจอเชื้อโรคนี้อีก

เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นรูปแบบที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือการใช้ไข่ไก่ฟัก โดยฉีดเชื้อไวรัสที่ต้องการใช้ผลิตวัคซีน และเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่จำเป็นสำหรับการร่วมผลิตวัคซีน เข้าไปในไข่ไก่ฟักฟองเดียวกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างกัน จากนั้นคัดเลือกไวรัสตัวที่เหมาะสมไปผลิตเป็นวัคซีนต่อไป

ส่วนเทคนิคการผลิตวัคซีนแบบใหม่ที่เริ่มนำมาใช้กันบ้างแล้วนั้นเรียกว่า รีเวิร์ส เจเนติกส์ (Revers Genetics) โดยสกัดแยกยีนของไวรัสที่สร้างโปรตีนส่วนผิวของไวรัส คือ H และ N แล้วนำมาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้เหมาะสม และสกัดแยกยีนอื่นๆ จากไวรัสสายพันธุ์ที่จำเป็นสำหรับการร่วมผลิตวัคซีน นำยีนจากไวรัสทั้งสองสายพันธุ์มาผสมกันสร้างเป็นไวรัสสายพันธุ์ลูกผสม และคัดเลือกไวรัสที่เหมาะสมไปผลิตวัคซีน ซึ่งข้อดีของวิธีใหม่นี้คือสามารถสร้างไวรัสที่เหมาะสำหรับเป็นวัคซีนได้รวด เร็วกว่าโดยไม่ต้องใช้ไข่ไก่ฟัก

จะรู้ได้ไงว่าเราเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า

หากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีไข้ ตัวร้อน มีอาการไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ง่วงซึม ปวดกล้ามเนื้อและตามข้อ หรือมีอาการของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ และรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สำหรับบางคนที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เข้าไปแล้วแต่ยัง ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แล้วยังไม่ไปพบแพทย์ ก็อาจมีส่วนช่วยแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับตรวจวัดอุณหภูมิระยะไกล "เทอมสกรีน 2.0" (ThermScreen 2.0) ใช้ร่วมกับกล้องตรวจวัดรังสีความร้อน ที่ช่วยให้ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย ตรวจวัดได้ครั้งละหลายคน รู้ผลภายใน 0.03 วินาที และเทคโนโลยีนี้ก็นำมาใช้คัดกรองผู้ที่จะเข้าชมงานมหกรรมวิทย์ปีนี้ด้วย

จะรู้ได้ไงว่าผู้ป่วยคนไหนเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

แพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยที่สังสัยว่าอาจเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยนำสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไปสกัดแยกเอาสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งคืออาร์เอ็นเอ จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ แล้วนำไปเพิ่มจำนวนดีเอ็นเอด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลิเมอเรส หรือ พีซีอาร์ (PCR) เมื่อได้ดีเอ็นเอไวรัสจำนวนมากพอ ก็นำไปแยกด้วยไฟฟ้าบนแผ่นวุ้น หรือ เจล อิเล็กโตรโฟเรซิส (Gel electrophoresis) เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดต่างๆ ก็จะรู้ว่าผู้ป่วยรายนี้ได้รับเชื้ออะไร ซึ่งวิธีนี้เป็นวิถีมาตรฐานที่ใช้ในห้องแล็บตรวจเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่โดยทั่ว ไป และไบโอเทคก็นำเอาดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดต่างๆ มาให้ดูกันในงานมหกรรมวิทย์ด้วย

"สมุนไพร 5 ราก" รักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ตามแบบแพทย์แผนไทย

เมื่อยาฝรั่งใช้ไม่ได้ผลหรือมีราคาแพงเกินไป ยาสมุนไพรจึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็เช่นเดียวกัน ที่มีสูตรตำหรับยาสมุนไพรรักษาโรคนี้ได้อยู่ แม้จะยาปัจจุบันยังใช้ได้ผลอยู่ก็ตาม แต่การรักษาโรคตามแบบแพทย์แผนไทยด้วยยาสมุนไพร ก็ยังแสดงถึงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยและช่วยประหยัดเงินตราเพื่อนำเข้ายาจาก ต่างประเทศได้

ในงานมหกรรมวิทย์ปีนี้ คณะการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต จึงภูมิใจเสนอวิธีรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ตามคัมภีร์ตักศิลา ที่บันทึกไว้ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้น ตอนแรกให้ยากระทุ้งพิษไข้ เพื่อขับพิษไข้ออกจากร่างกาย จากนั้นให้ยาแปรไข้ เพื่อดับพิษไข้ แปรไข้จากร้ายเป็นดี และขั้นสุดท้ายให้ยาครอบไข้ เพื่อครอบไข้มิให้กลับมาเป็นอีก และบำรุงร่างกายไปพร้อมกัน

พระเอกของการรักษาด้วยวิธีนี้คือ ตำรับ "ยา 5 ราก" หรือ "เบญจโลกวิเชียร" ที่ใช้ในการกระทุ้งพิษไข้ ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ ชิงชี่ คนทา ย่านาง ท้าวยายม่อม และมะเดื่อชุมพร

นอกจากนี้ยังมีการเปิดอบรมการทำเจลล้างมือป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย ทั้งในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์บริการ และห้องแล็บขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

หากใครสนใจเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ การทำเจลล้างมือ เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยสู้หวัดสายพันธุ์ใหม่ สามารถไปเยี่ยมชมและหาความรู้กันได้ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2552 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ระหว่างวันที่ 8-23 ส.ค. 2552 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 2-8 ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น. สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) โทร. 0-2577-9999 ต่อ 1833 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nsm.or.th และ Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์ โทร. 1313

ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091931

แพทย์ระบุ "หลวงพ่อคูณ" สงสัยอาพาธไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่กลุ่มเสี่ยงน่าห่วง-อาการหนักกว่าทุกครั้ง

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แพทย์ระบุ “หลวงพ่อคูณ” อาพาธต้องสงสัยไข้หวัด 2009 อยู่ในกลุ่มเสี่ยงน่าห่วงเหตุอายุมาก- มีโรคประจำตัวหลายอย่าง รอผลตรวจเลือดยืนยันใน 1-2 วันนี้ เผยให้ยาทามิฟลู และยาพ่นต้านไว้รัส ชี้อาการโดยรวมเริ่มดีขึ้นแต่ยังสับสนอยู่ สั่งลูกศิษย์สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้าใกล้เพื่อป้องกันติดเชื้อ แพทย์ระบุอาพาธครั้งนี้อาการหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกีรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา หลังลูกศิษย์นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลด้ายอาการเบลอ สับสน จำใครไม่ได้ เมื่อบ่ายวานนี้ (13 ส.ค.)

ล่าสุด วันนี้ (14 ส.ค.) อาการหลวงพ่อคูณเริ่มดีขึ้น แต่ยังคงสับสน แพทย์ให้น้ำเกลือเป็นกระปุกที่ 2 และให้ฉันยาปฏิชีวนะ โดยหลวงพ่อคูณตื่นจากจำวัดเมื่อเวลา 07.00 น. พยาบาลเข้าตรวจอาการไข้และวัดความดัน ก่อนให้หลวงพ่อทำกิจธุระส่วนตัว โดยหลวงพ่อคูณ ย้ำถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดตลอดเวลาว่า “กูอยู่ที่ไหน”

ต่อมาเวลา 07.30 น. นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด แพทย์ประจำตัว พร้อมด้วย นพ.สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท และ นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้เข้าตรวจอาการของหลวงพ่อคูณอีกครั้ง ซึ่งหลวงพ่อคูณพยายามบอกคณะแพทย์ตลอดว่า “กูไม่เป็นอะไร จะตรวจทำไม”

นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้หลวงพ่อคูณถูกนำส่งมาโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาด้วยอาการสับสน จำใครไม่ได้ จึงนำหลวงพ่อมาตรวจระบบประสาท โดยแพทย์ได้ประเมินคาดว่าสาเหตุที่มีอาการดังกล่าวน่าจะมาจาก 2 ปัจจัย คือ เป็นเรื่องความสับสนที่พบได้ในผู้สูงอายุ และเป็นอาการเกิดจากการชัก จากนั้นได้นิมนต์หลวงพ่อจำวัดที่โรงพยาบาลเพื่อแพทย์จะได้เฝ้าดูอาการ

ปรากฏว่าประมาณ 19.00 น.เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) หลวงพ่อคูณมีไข้สูง หนาวสั่น จากการประเมินอาการไข้ น่าจะมาจาก 2 อย่าง คือ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด หรือ อาจจะเป็นการติดเชื้อไวรัส ซึ่งหากเป็นเชื้อไวรัส ก็คิดว่าน่าจะเป็นอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากอาการอาพาธครั้งนี้ของหลวงพ่อคูณรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น และขณะนี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาได้กำชับให้ลูกศิษย์ใส่หน้ากากอนามัยพร้อมให้ระวังเมื่อเข้าใกล้ หลวงพ่อ แต่ปัจจัยหนึ่งที่ไม่สามารถจะควบคุมได้คือ ลูกศิษย์ที่เดินทางมากราบนมัสการเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้หลวงพ่อคูณติดเชื้อได้

อีกทั้งก่อนหน้านี้หลวงพ่อคูณได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แพทย์มั่นใจว่าหลวงพ่อคูณป่วยเป็นไข้หวัด ใหญ่ 2009

นพ.พินิศจัย กล่าวอีกว่า การรักษาของแพทย์ตั้งแต่เมื่อวานนี้ได้เริ่มให้การรักษาแบบผู้ป่วยไข้หวัด 2009 ด้วยการให้ยาโอเซลทามีเวียร์ และยาพ่นต้านไวรัส ซึ่งหลวงพ่ออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัวหลายอย่าง

ด้าน นพ.สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท เปิดเผยถึงอาการทางสมองของหลวงพ่อคูณว่า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) หลวงพ่อมีอาการสับสนมาก กระสับกระส่าย ยังหาสาเหตุของการเกิดการสับสนไม่ได้ เพราะผลการเอกซเรย์สมองโดยรวมปกติดี จนกระทั่งหลวงพ่อคูณมีไข้ จึงคิดว่าอาการสับสนดังกล่าวน่าจะมาจากอาการไข้ และเมื่อไข้ลดลงอาการเบลอ สับสนก็ดีขึ้น แต่ยังมีอาการหลงลืมบ้าง คือจำสถานที่ไม่ได้และยังคงย้ำถามลูกศิษย์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งดีกว่าเมื่อวานที่ไม่ได้สนใจตรงนี้เลย ส่วนลูกศิษย์ก็เริ่มจำหน้าได้แต่ยังจำชื่อไม่ได้

ขณะที่ นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤติ เปิดเผยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจเบื้องต้น คิดว่าน่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ค่อนข้างสูงตอนนี้รอผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการที่กรุงเทพฯ คาดว่าจะรู้ผลภายใน 1-2 วันนี้ อาการเบื้องต้นหลวงพ่อคูณมีอาการไข้สูง หอบเหนื่อย และไอ

ล่าสุด ตรวจร่างกายเมื่อเช้านี้พบมีเสลดอยู่ในเสมหะในปอดค่อนข้างมาก แพทย์ได้ให้การรักษาโดยให้ยาทามิฟลู หลังให้ยาแล้วคนไข้ให้การตอบสนองค่อนข้างดี ไข้ลดลง อาการทั่วไปดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้ลูกศิษย์สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เข้าไปปรนนิบัติหลวงพ่อคูณ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม

ที่มา: http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000092324