ลิงค์ผู้สนับสนุน

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“สุดารัตน์” แนะจัดบิ๊กคลีนนิ่ง สกัดไข้หวัด 2009 ลามทั่วประเทศ

“สุดารัตน์”ออกโรงอัดรัฐบาลไร้น้ำยาแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 ปิดรร.กวดวิชาทั้งๆที่โรคระบาดไปถึงไหนแล้ว แนะจัดสัปดาห์รณรงค์ไข้หวัด 2009 ปิดรร.-สถานที่ทำงาน7วัน เหมือนญี่ปุ่น ระบุถ้ายังลูบหน้าปะจมูกอาจต้องปิดประเทศทำให้เสียหายมหาศาล



วันนี้ (10 ก.ค.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าววิจารณ์นโยบายรัฐบาลในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 ว่า สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลไม่มีนโย บายที่ชัดเจนว่า จะออกมาตรการป้องกันควบคุมโรคแบบไข้หวัดใหญ่ธรรมดาหรือจะมีนโยบายเป็นวาระ แห่งชาติในลักษณะเดียวกับที่เคยดำเนินการในเรื่องของโรค ซาร์สและไข้หวัดนก ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร อีกทั้งการระบาดในช่วงแรกๆ เนื่องจากรัฐบาลไม่ชัดเจนทำให้มาตรการในการคัดกรองต่างๆไม่มีประสิทธิภาพ เท่าที่ควร เห็นได้ชัดเจน อย่างเช่น เรื่องการติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกนเนอร์ที่จริงๆแล้ว นักวิชาการเองก็ยืนยันว่าไม่ได้ผล แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันจะติด สุดท้ายก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรมาก

อดีตรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า อยากเห็นความชัดเจนของรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยให้ป่วยตายก่อนแล้วค่อยตื่นตัว อย่างเช่น การปิดโรงเรียนกวดวิชา แม้จะเป็นเรื่องที่ดีแต่มาทำตอนนี้สายเกินไปแล้ว เพราะโรคแพร่ระบาดไปถึงไหนๆแล้ว ปิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ถ้าจะปิดโรงเรียนกวดวิชา ทำไมไม่ปิดโรงเรียนธรรมดา 7 วัน แล้วทำความสะอาดขนานใหญ่ ทำให้เป็นสัปดาห์รณรงค์สกัดไข้หวัด 2009 แบบบิ๊กคลีนนิ่งไปเลย อย่างที่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆก็ทำกัน ไม่ใช่ออกมาตรการแบบลูบหน้าปะจมูก ที่สำคัญควรพูดความจริงกับประชาชน สร้างค่านิยมให้ประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันโรคที่เหมาะสม เชื่อว่าจะลดการติดเชื้อได้

"รัฐบาลยังไม่รู้เลยว่า จะมีมาตรการอย่างไร ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะใช้คนสาธารณสุขที่เก่งๆทำงานอย่างไร ข้าราชการที่เก่งหรือรู้ปัญหา รู้ทางแก้ก็ไม่กล้าพูด เพราะนโยบายไม่ชัดเจน คิดว่าสำคัญที่สุด รัฐบาลควรทำ 4 เรื่องหลักๆ คือ สกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค ,ควบคุมโรค คนป่วยให้อยู่บ้านรวมทั้งคนในบ้านด้วย ให้หยุดเรียน หยุดงาน เพื่อลดการแพร่เชื้อในที่ชุมชน มาตรการการรักษาทำอย่างทันท่วงทีภายใต้มาตรฐานทางวิชาการ จะรักษาอย่างไรให้หรือไม่ให้ยาต้านไวรัส ถ้าให้มีเกณฑ์อย่างไร ต้องบอกประชาชน ไม่ใช่ไปถึงโรงพยาบาลแล้ว คนหนึ่งได้ยาต้านไวรัสอีกคนไม่ได้ แล้วแพทย์ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องให้ ทำไมไม่ให้ สุดท้ายต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจและระวังตนเอง ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่รีบดำเนินการปล่อยให้ปัญหาบานปลายจนถึงขั้นต้องปิดประเทศ จะเกิดความเสียหายมหาศาลมากกว่านี้"อดีตรมว.สาธารณสุข กล่าว

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/special/18573

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น